Skip to main content
เช้ามา...เปิดคอม เปิดเนต เช็คตารางนัด เช็คเมล ตอบเมล ล็อคอินเข้า MSN เอาไว้คุยกับเพื่อน หาข้อมูลจาก Google และ Wikipedia เข้าไปดูว่าเพื่อนๆทำอะไรกันบ้าง พร้อมกับอัพเดตของมูลตัวเองบน MySpace, Hi5 หรือ Facebook เข้าไปอ่านข่าว บทความ หรือกระทู้ จากแหล่งข้อมูลเฉพาะด้าน จาก Blog หรือสังคมออนไลน์ต่างๆ ที่สนใจ เข้าไปดูวิดีโอแปลกๆ หรืออัพโหลดวิดีโอฝีมือตนเองบน Youtube เข้าไปอัพเดตรูปตัวเองหรือหารูปสวยๆบน Flickr และโทรหาใครหลายคน ไม่ว่าอยู่มุมไหนของโลกผ่าน Skype

ชีวิตที่ดำเนินไปข้างต้น คงมีส่วนคล้ายกับชีวิตใครหลายคนในปัจจุบัน ไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกลุ่มคนที่มีอายุต่ำกว่า
30 ลงไป

หากลองสังเกตดู จะตระหนักได้ว่าคนกลุ่มนี้ มีแนวโน้มที่จะใช้ชีวิตไกลออกมา จากสื่อกระแสหลักไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ สถานีโทรทัศน์ และสถานีวิทยุ และเลือกบริโภคข้อมูลจากสื่อเหล่านี้น้อยลงทุกที โดยเลือกแสวงหาแหล่งข้อมูลเพื่อบริโภค จากแหล่งข้อมูลทางเลือกใหม่ๆบนอินเตอร์เนต อีกทั้งยังอิงความคิดของตน กับเครือข่ายสังคมออนไลน์ ที่ตนเลือกเข้าร่วมเองมากขึ้น มากกว่าจากสื่อกระแสหลักซึ่งถือเป็นการโดนยัดเยียด
สถานการณ์ข้างต้น มีสาเหตุหลักจากการที่ข้อจำกัดในการติดต่อสื่อสาร และการเลือกแหล่งข้อมูลเพื่อบริโภค ได้ถูกทำลายลง ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายตัวของอินเตอร์เนต การเกิดขึ้นของเทคโนโลยีเว็บยุค 2.0 และการเติบโตของเครือข่ายสังคมออนไลน์ต่างๆ

นอกจากนี้ ความรักอิสระในการเลือกทำสิ่งต่างๆ ของแต่ละปัจเจกบุคคล ยังเป็นอีกหนึ่งเหตุปัจจัย ของสถานการณ์ดังกล่าว

การที่แต่ละปัจเจกบุคคล เลือกที่จะเข้าร่วมกับสังคมออนไลน์ใดๆ ด้วยตนเอง และการที่กลุ่มคนภายใต้สังคมออนไลน์เดียวกัน ร่วมกันสร้างมูลค่าให้กับสังคมนั้นๆ พร้อมทั้งการเชื้อเชิญบุคคลอื่นๆ เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่เพิ่มเติม คือกลไกแห่งความสำเร็จ ของการเกิดขึ้นของสังคมออนไลน์ และการเติบโตของเครือข่ายสังคมออนไลน์ต่างๆ

ความผูกพัน การเชื่อมโยง และความสัมพันธ์ของสังคมในลักษณะนี้ ถูกเรียกว่า “เครือข่ายสังคมบริหารตัวเอง” หรือ
Self-Organizing Community

จุดเด่นของเครือข่ายสังคมบริหารตัวเอง คือการที่สมาชิกแต่ละคน เต็มใจอุทิศเวลาและทรัพยากรส่วนตัว สร้างและเพิ่มมูลค่าให้กับเครือข่าย เป็นการร่วมมือกันแบบหลวมๆ
(Loosely Coupled) โดยไม่มีการควบคุมหรือสั่งการ และได้รับผลตอบแทนในรูปแบบอื่นๆ ที่ไม่ใช่ค่าตอบแทนการว่าจ้าง เช่น การบรรลุผลประโยชน์สูงสุดร่วมกัน การได้รับการยอมรับนับถือจากสมาชิกในเครือข่าย การได้รู้จักคนเพิ่มขึ้นผ่านเครือข่าย และการได้ใช้ผลิตภัณฑ์หรือความสามารถของเครือข่าย

ลักษณะของเครือข่ายสังคมบริหารตัวเอง เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ในปี
1991 เมื่อ Linus Torvalds ผู้ให้กำเนิดระบบปฏิบัติการ Linux ได้นำโปรแกรมต้นแบบ ที่ตนได้เริ่มพัฒนา ขึ้นไปแบ่งปันไว้บนอินเตอร์เนต เพื่อให้ผู้ที่มีความสนใจ ร่วมพัฒนาและนำไปใช้ โดยกำหนดมาตรฐานสำคัญไว้ว่า ทุกคนมีเสรีภาพในการนำไปใช้และพัฒนาต่อยอด และขอให้แบ่งปันส่วนที่พัฒนาต่อยอดแล้ว ให้ผู้อื่นต่อไปด้วย

ผลที่ตามมาคือ ระบบปฏิบัติการ
Linux ได้รับการพัฒนาให้มีความเสถียร มีระบบการพัฒนาที่มีมาตรฐาน และได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นทุกวัน เนื่องจากมีผู้ต้องการร่วมพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และเป็นจำนวนมาก อีกทั้งผู้ต้องการนำไปใช้ ก็มีจำนวนมากเช่นกัน เนื่องจากไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ

โดยในเครือข่ายสังคมบริหารตัวเอง
Linux สมาชิกแต่ละคนสร้างหรือเพิ่มมูลค่าให้กับเครือข่าย พร้อมทั้งได้รับผลตอบแทน ในลักษณะต่างกันไป โดย

ผู้ใช้สร้างมูลค่า ด้วยการเป็นเสมือนหนึ่งผู้ทดลองใช้ระบบ ซึ่งช่วยรายงานความผิดพลาด กลับมาอย่างเต็มใจ โดยไม่ต้องการการว่าจ้างใดๆ อีกทั้งยังช่วยทำให้คนอื่น รู้จักโปรแกรม
Linux เพิ่มขึ้น ซึ่งถือเป็นการทำการตลาดอย่างหนึ่ง โดยได้รับผลตอบแทนคือ การได้ระบบปฏิบัติการที่มีประสิทธิภาพไปใช้

ผู้ร่วมพัฒนา สร้างมูลค่าด้วยการทำให้
Linux มีประสิทธิภาพการทำงานสูงขึ้น หรือมีระบบการพัฒนาที่มีมาตรฐาน โดยได้รับผลตอบแทนในรูปแบบของ การได้รู้จักนักพัฒนาโปรแกรมที่มีความสามารถเพิ่มขึ้น และการได้รับการยอมรับจากนักพัฒนาโปรแกรมคนอื่นๆ

การเกิดขึ้นและเป็นที่นิยมของโครงการ
Linux ทำให้ในปัจจุบัน มีโครงการพัฒนา Open Source Software อื่นๆ และโครงการประเภทต่างๆ ที่มีประโยชน์มหาศาลต่อโลก ซึ่งใช้ลักษณะของการบริหารจัดการแบบ เครือข่ายสังคมบริหารตัวเอง ได้เกิดขึ้นอย่างมากมาย ซึ่งเปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไป เข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนา สร้างประโยชน์ และใช้ประโยชน์จากทุนทางความรู้ต่างๆ ตัวอย่างโครงการที่สำคัญเช่น โครงการ Open Source Software ต่างๆ (http://sourceforge.net) โครงการ Wiki ต่างๆ (http://www.wikipedia.org) โครงการ FightAIDS@home (http://fightaidsathome.scripps.edu) และ
โครงการ
MIT Open Course Ware (http://ocw.mit.edu/OcwWeb/web/about/stories/index.htm)

นอกจากโครงการข้างต้น ซึ่งไม่แสวงหาผลกำไรแล้ว แนวความคิดของเครือข่ายสังคมบริหารตัวเอง ยังถูกนำไปใช้ประโยชน์ทางธุรกิจ โดยการใช้สร้างสังคมออนไลน์ต่างๆ เช่น
Youtube, Flickr หรือ Digg หรือว่าจะเป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ต่างๆ เช่น MySpace Hi5 หรือ Facebook ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในทุกวันนี้

โดยลักษณะการสร้างมูลค่า และรูปแบบของผลประโยชน์ ที่สมาชิกได้รับ อาจมีความแตกต่างกันไปในรายละเอียด แต่ในระดับหลักการแล้วมีความคล้ายคลึงกัน นั่นคือสมาชิกสร้างมูลค่าให้กับเครือข่าย โดยการอัพเดตข้อมูลของตนเอง และการติดต่อสื่อสารกับสมาชิกในเครือข่าย และการชักชวนคนเข้ามาเป็นสมาชิกเพิ่มขึ้น และสมาชิกจะได้รับผลประโยชน์ จากความหลากหลายของข้อมูล ที่นำมาแบ่งปันในชุมชม จากปริมาณสมาชิกที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และการขยายวงสังคมของตนเองออกไป

หากแต่เครือข่ายสังคมบริหารตัวเองข้างต้น จะสร้างผลประโยชน์ทางธุรกิจ ให้กับกลุ่มผู้ก่อตั้งเครือข่าย ในลักษณะของรายได้จากการขายพื้นที่โฆษณา และการขายบริการหรือความสามารถเพิ่มเติมต่างๆให้กับสมาชิก โดยถือผลตอบแทนการลงทุน ที่ผู้ก่อตั้งลงทุนสร้างระบบและพัฒนาโปรแกรม ซึ่งมีความสามารถในการจัดการ ค้นหา และจัดลำดับความนิยมของข้อมูล เชื่อมโยงผู้ใช้ที่เกี่ยวข้องกัน และเอื้อประโยชน์ให้สมาชิก สามารถพัฒนาความสัมพันธ์กับวงสังคมของตน

ไม่ว่าจะถูกใช้เพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ หรือในลักษณะไม่แสวงหากำไร แนวความคิดของเครือข่ายสังคมบริหารตัวเอง กำลังสร้างการเปลี่ยนแปลงในหลายๆด้านให้กับโลกใบนี้ โดย

ทำให้แต่ละปัจเจกบุคคลกับคนรู้จัก ที่เป็นสมาชิกภายใต้เครือข่ายเดียวกัน สามารถรับรู้ความเคลื่อนไหวของกันและกัน ทำให้ไม่ขาดหายการติดต่อ
...เป็นช่องทางการติดต่อสื่อสารทางเลือกใหม่

เป็นแหล่งข้อมูลข่าวสาร ซึ่งนำเสนอเรื่องราวเฉพาะด้าน ซึ่งอยู่ในความสนใจของสมาชิกในเครือข่าย และมีเครือข่ายเป็นเครื่องมือ ควบคุมคุณภาพข้อมูลและสมาชิกในเครือข่าย
...เป็นสื่อทางเลือกใหม่ซึ่งอิงมาตรฐานสังคม

เป็นแหล่งพบปะ แลกเปลี่ยน และต่อสู้ทางความคิด เป็นแหล่งสั่งสมข้อมูล ความรู้ และแนวความคิดเฉพาะด้าน รวมทั้งเป็นแหล่งสนับสนุน การดำเนินกิจกรรมต่างๆ ซึ่งสอดคล้องกับแนวความคิดหลักของเครือข่าย
...เป็นเครื่องมือทางเลือกใหม่ ในการสร้างการเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมือง

เป็นเครื่องมือที่ใช้สร้างเครือข่ายความร่วมมือ ระหว่างบริษัทผู้ผลิตกับลูกค้า เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกค้า ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาสินค้า เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้หลายบริษัท สร้างเครือข่ายเชื่อมโยงกับแหล่งทรัพยากรบุคคลภายนอก เพื่อการนำเอาความรู้ ความสามารถ และมุมมอง ที่หลากหลายกว่าที่มีอยู่ภายในองค์กร ทั้งในแง่ของกำลังคน และองค์ความรู้ภายใน เพื่อแก้ปัญหาและพัฒนา เรื่องคุณภาพการดำเนินงาน และประสิทธิภาพในการแข่งขัน
...เป็นแหล่งผลิตนวัตกรรมใหม่

ถูกใช้เป็นแนวการบริหารจัดการองค์กร ที่หลายองค์กรนำไปใช้ เพื่อการมีโครงสร้างองค์กร และการบริหารทรัพยากรที่ยืดหยุ่น ซึ่งช่วยให้องค์กรรับมือกับความเปลี่ยนแปล่งต่าง ได้เป็นอย่างดี โดยมีความเหมาะอย่างยิ่งกับองค์กร ซึ่งต้องการทรัพยากรบุคคลประเภท ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง หรือพนักงานผู้มีความรู้ความสามารถดี กระตือรือล้นในการเรียนรู้สิ่งใหม่ และชอบความท้าทายใหม่ๆ
...เป็นรูปแบบจัดการองค์กรสมัยใหม่

เปลี่ยนแปลงแนวทางการบริหารสิทธิประโยชน์ จากองค์ความรู้ ลิขสิทธิ์และนวัตกรรม ซึ่งถูกปิดกั้นและเรียกรับผลประโยชน์ โดยผู้เป็นเจ้าของ ซึ่งเป็นคนกลุ่มน้อย ที่มีทุน และสามารถเข้าถึงทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด มาสู่การเปิดให้คนส่วนใหญ่ได้ร่วมกันพัฒนา ใช้ประโยชน์ และเป็นเจ้าของร่วมกัน
...เป็นทางเลือกใหม่ในการจัดการเรื่องลิขสิทธิ์และสิทธิประโยชน์

จะเห็นได้ว่า แนวความคิดเครือข่ายสังคมบริหารตัวเอง กำลังถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลาย เพื่อประโยชน์ในหลากหลายแง่มุม ซึ่งการเจริญเติบโตของแนวความคิดนี้ในทางปฏิบัติ กำลังตั้งคำถามสำคัญที่ว่า มาตรฐานในทางปฏิบัติในอดีตที่ผ่านมา ในหลายๆด้านซึ่งแนวความคิดนี้กำลังเติบโตนั้น ยังคงเหมาะสมกับสภาพสังคมและเศรษฐกิจ ในปัจจุบันอยู่หรือไม่อย่างไร

องค์กรใหญ่ๆ ซึ่งได้รับความมั่งคั่ง จากการเรียกรับผลประโยชน์ จากทุนทางความรู้ของตน ต้องตระหนักถึงภาพการเปลี่ยนแปลง ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เช่น

ภาพที่ความมั่งคั่งขององค์กรเช่น
Microsoft กำลังถูกสั่นคลอนโดย Open Source Software เช่น Linux และการให้บริการแบบไม่คิดค่าใช้จ่ายของบริการ online ต่างๆ จาก Google

ภาพที่ Wikipedia ได้รับความนิยม ได้รับการยอมรับ และเริ่มคนส่วนใหญ่เริ่มใช้มันมาทดแทน การใช้งานสารานุกรมมาตรฐานเดิมต่างๆ เช่น Encyclopaedia Britannica

ภาพที่ประชาชนเริ่มเสื่อมความนิยมในสื่อกระแสหลัก และหันไปให้ความสนใจกับสื่อทางเลือกใหม่ ซึ่งตนสามารถเลือกบริโภคข้อมูลข่าวสาร จากสังคมข่าวสารต่างๆ ได้อย่างเสรีและหลากหลาย อีกทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมกำหนดมาตรฐานและทิศทางของสังคมข่าวสารนั้นๆ

การเปลี่ยนแปลงของมาตรฐานต่างๆในครั้งนี้ กำลังจะเป็นบททดสอบสำคัญ ที่สะท้อนความคิดที่ว่า มาตรฐานทางสังคมนั้น สังคมซึ่งหมายถึงคนส่วนมาก น่าจะเป็นผู้ร่วมกำหนดมาตรฐาน มากกว่าที่จะเป็นแค่คนไม่กี่กลุ่ม ซึ่งสามารถเข้าถึงทุน หรือทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด อย่างเช่นในอดีต

 

 

บล็อกของ SenseMaker

SenseMaker
น้ำมาถึงไหนแล้วหว่า...บ้านฉันน้ำจะท่วมมั้ยเนี่ย...จะหาข้อมูลที่จำเป็นได้จากที่ไหนบ้างหว่า...เวลาเดือดร้อนจะต้องแจ้งใคร...ทำไมโทรไป 1111 กด 5 แล้วถามอะไรไปก็ตอบไม่ได้... ........ใครก็ได้ช่วยบอกทีเหอะว่าฉันกับครอบครัวต้องทำยังไงบ้าง.......ข้อมูลประกอบการตัดสินใจอะไรๆก็ไม่มี ที่มีก็ไม่รู้จะเชื่อได้มากขนาดไหน เชื่อได้รึเปล่า.........
SenseMaker
ขอสวัสดีปีใหม่แด่ท่านผู้อ่านทุกท่าน ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยจงอวยพรให้ทุกท่าน สุขกาย สบายใจมีเงินทองใช้ไม่ขาดมือ และมีสติในการดำเนินชีวิตอยู่เสมอ
SenseMaker
  จากที่สัญญาว่าในบทความนี้ ข้าพเจ้าจะมาต่อยอดบทความจากครั้งที่แล้วในหัวข้อ “ความร่ำรวยข้อมูล” ด้วยการวิเคราะห์ความจำเป็น ที่เราจักต้องพัฒนาทั้ง 3 ส่วนประกอบสำคัญ อันได้แก่ ความอุดมทางด้านข้อมูล ความยากง่ายในการเข้าถึงข้อมูล และมุมมองที่มีในการวางแผนโครงสร้างข้อมูลบนเว็บ ไปพร้อมๆกัน เพื่อทำให้ทุกท่านเข้าใจประเด็นดังกล่าวนี้เป็นรูปธรรมมากขึ้น
SenseMaker
เป็นอีกครั้งที่ข้าพเจ้าไม่สามารถส่งบทความเข้ามาได้ตามกำหนด โดยคราวนี้ทิ้งระยะไปนานมาก จนทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกผิดต่อผู้อ่านและผู้บริหาร blogazine เป็นอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
SenseMaker
ต่อเนื่องจากบทความที่แล้วในหัวข้อ ความเป็นส่วนตัวของคุณราคาเท่าไหร่ ข้าพเจ้าอยากชวนท่านผู้อ่านคิดต่อไปอีกนิดว่า ท่านจะรู้ได้อย่างไรว่า ข้อมูลส่วนตัวต่างๆ ที่ท่านเปิดเผยไว้บนพื้นที่ออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเครือข่ายสังคมออนไลน์ (social network sites) ต่างๆ เช่น Facebook และ MySpace จะไม่ทำให้ท่านสูญเสียอะไร หรือเสียใจในอนาคต
SenseMaker
จากบทความที่แล้วในหัวข้อ การจัดระเบียบโลกใหม่ การเมืองไทย และICT ข้าพเจ้าได้ชี้ให้เห็นว่า เพราะความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ICT ในปัจจุบัน ทำให้ความสามารถของมนุษย์ ในการจัดการและจัดเก็บข้อมูล ซึ่งหากอาศัยเพียงประสาทสัมผัสของมนุษย์ จะไม่สามารถเข้าถึงและจัดการได้ และความด้วยความก้าวหน้านี้ ทำให้มนุษย์สามารถเห็นและรับรู้ ในข้อมูลที่เคยยากที่จะเห็นและรับรู้ อีกทั้งยังทำให้เข้าใจในสิ่งที่เคยยากต่อการวิเคราะห์
SenseMaker
ความก้าวหน้าทาง ICT ในปัจจุบัน ช่วยให้เราๆท่านๆ สามารถเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ซึ่งยากที่จะเข้าถึงในอดีต ได้ง่ายขึ้น เช่น ข้อมูลของบุคคลหรือข้อมูลขององค์กรที่เราสนใจ ข้อมูลทางเศรษฐกิจและสังคม ของประเทศใดประเทศหนึ่ง รวมถึงองค์ความรู้ในด้านต่างๆ เป็นต้น
SenseMaker
หลังจากบทความที่เรียกได้ว่า บทบรรณาธิการแรก ได้ชี้แจงเป้าหมายการดำรงอยู่ ของพื้นที่ทางความคิดแห่งนี้ บัดนี้เวลาล่วงเลยมาครึ่งปี โอกาสแห่งการพูดคุย กับท่านผู้อ่านอีกครั้ง ก็มาถึงทุกๆ12 บทความ ที่ได้ทำหน้าที่ของมันผ่านพ้นไป ถือเป็นช่วงเวลาที่ดี ที่ผู้เขียนกับผู้อ่านจะได้แลกเปลี่ยนความคิดกัน เพื่อทำให้พื้นที่แห่งนี้ เป็นประโยชน์กับทุกๆคน อย่างแท้จริงในทัศนะของข้าพเจ้าแล้ว ICT เข้ามามีบทบาท ต่อชีวิตของเราทุกคน ในทุกวันนี้มากขึ้นทุกที แต่ละคนได้รับประโยชน์ ผลกระทบ และผลลัพธ์ ที่แตกต่างกันไป จากการเปลี่ยนแปลงรอบตัว ซึ่งมี ICT เป็นปัจจัยต้นเหตุ
SenseMaker
Peer Review อาจไม่ใช่คำในภาษาอังกฤษ ที่คนส่วนใหญ่ในสังคมคุ้นเคย แต่เป็นคำคุ้นเคยเป็นอย่างดีในสังคมนักวิชาการ อาจารย์ หรือ นักวิจัย เนื่องจากสังคมดังกล่าว มีวัฒนธรรมและกิจกรรมหลัก ในการสร้างองค์ความรู้ใหม่ ด้วยการต่อยอดองค์ความรู้ที่มีอยู่เดิม ผ่านการพัฒนาผลงานวิจัยใหม่ ซึ่งการยอมรับจากสมาชิกในสังคมเดียวกัน มีความสำคัญกับผลงานวิจัยแต่ละชิ้นมาก เนื่องจากไม่ว่าผลงานดังกล่าว จะมีคุณภาพในสายตาผู้พัฒนาเพียงใด แต่หากไม่ได้รับการตอบรับจากสมาชิกในสังคม ผลงานนั้นก็ถือได้ว่า ไม่ได้สร้างคุณค่าให้กับสังคมมากนัก
SenseMaker
ในอดีต การเกิดขึ้นของสังคม มักจะถูกจำกัดด้วยเส้นขอบเขตของเวลาและสถานที่ การเป็นส่วนหนึ่งในสังคม เกิดจากการมีส่วนร่วมอยู่ในเวลาและสถานที่เดียวกัน เช่น การอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน การไปโรงเรียนหรือสถานศึกษาเดียวกัน การทำงานในบริษัทหรือสถานที่ทำงานเดียวกัน หรือ การอยู่ในกลุ่มทำกิจกรรมเดียวกัน เป็นต้นแต่ด้วยความก้าวหน้าของ ICT และการขยายตัวของอินเตอร์เนต ทำให้ในปัจจุบัน การมีและเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ของเราแต่ละคน ไม่ถูกจำกัดโดยสองข้อจำกัดข้างต้น อีกต่อไป และทำให้ในปัจจุบันนั้น เราแต่ละคน มีและเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ที่ถูกสร้างขึ้นบนอินเตอร์เนต เพิ่มมากขึ้นๆทุกที
SenseMaker
  หลังจากหลายบทความในคอลัมน์แห่งนี้ ข้าพเจ้าได้ใช้พูดถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ที่นับวันดูเหมือนว่า "เป็นการยากสำหรับประชาชน ที่จะทำความเข้าใจถึงความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ เพื่อการดำรงชีวิตอย่างเท่าทัน" บทความวันนี้ จึงถูกเขียนขึ้นเพื่อแสดงทัศนะเกี่ยวกับกลไกทางสังคม ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งในปัจจุบัน เพื่อทำหน้าที่คุ้มกันและช่วยเหลือประชาชน ซึ่งเป็นผู้ได้รับผลกระทบหรือถูกกระทำ จากความเปลี่ยนแปลงทางสังคมเหล่านี้ โดยไม่อาจป้องกันตนเองได้อย่างเท่าทัน หากขาดไปซึ่งกลไกทางสังคมที่จะขอกล่าวถึงในวันนี้เรามาเริ่มทบทวนกันก่อนว่าความเปลี่ยนแปลงทางสังคม ซึ่งถูกกล่าวถึงในคอลัมน์แห่งนี้…
SenseMaker
สุขสันต์ปีใหม่แด่ทุกท่าน ผู้ซึ่งให้เกียรติแวะเวียนเข้ามาอ่านบทความในคอลัมน์แห่งนี้ ทั้งขาประจำและขาจร ขออาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก จงอำนวยอวยพรให้ทุกท่านมีความสุขกาย สบายใจ และสามารถดำรงชีวิตอย่างมีสติ (และมีสตางค์ใช้อย่างพอเพียง) ข้าพเจ้าขอเริ่มต้นปีใหม่ ด้วยอีกหนึ่งงานเขียนที่มุ่งสื่อสารให้ผู้คนในวงกว้าง ตระหนักถึงผลกระทบที่ ICT มีต่อการดำเนินชีวิตในทุกระดับ เพื่อให้ทุกท่านสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้อย่างเท่าทัน อีกทั้งสามารถประยุกต์ใช้มันอย่างมีประโยชน์