Skip to main content

ช่วงปิดเทอม ดาวใจกับไพจิตรได้เข้ามาที่ศูนย์ภูมิปัญญาไทบ้านเกือบทุกวันเพราะพ่อแม่ของเธอมารับจ้างสับมัน (มันสำปะหลัง) กับสหกรณ์ปากมูล (สหกรณ์ปากมูลและศูนย์ภูมิปัญญาไทบ้านอยู่ติดกัน) บางครั้งดาวใจก็รับจ้างด้วย เพราะเธอโตแล้ว อายุสิบสี่ปีกว่า เธอทำงานแบบนี้ได้สบายมาก ส่วนไพจิตรยังคงเป็นเด็กหญิงซนๆ วิ่งไปวิ่งมา ทำงานตามแต่คำบัญชาการของพ่อแม่


ผ่านหน้าร้อน เข้าหน้าฝน หัวมันถูกสับตากแห้งเข้าโรงงานกันหมดแล้ว งานที่สหกรณ์ไม่ค่อยมีอะไรมาก เธอสองคนมีเวลาลงมาเล่นแถวบ้านดินของฉันบ่อยขึ้น ไม่ได้มาเที่ยวเฉยๆ แต่เธอสองคนมีหน้าที่เกี่ยวหญ้าเอาไปให้ควาย หรือบางครั้งแม่ของเธอรับจ้างซักผ้าห่ม ปลอกหมอน ผ้าปูที่นอน ที่ใช้รับรองแขกยามเข้ามาพักในศูนย์ฯ เธอสองคนก็ต้องมาช่วย

ไม่รู้ว่าครอบครัวนี้เลี้ยงลูกอย่างไรถึงทำให้การทำงานของพวกเธอไม่เคยเป็นเรื่องน่าเบื่อ ชวนให้หน้าหงิกหน้างอ ไม่ว่าจะทำงานหนักแค่ไหน อย่างงานซักผ้าห่มซึ่งหนักเอาเรื่อง แต่เธอสองคนก็ยังสนุกสนานเฮฮาตลอด รวมถึง ไมโคร นูโว พี่ชายทั้งสองคนก็เหมือนกัน เวลาทำงานทุกคนทำอย่างเต็มใจไม่มีใครแสดงท่าทีปั้นปึ่ง

วันซักผ้าห่มนั้น ฉันเห็นดาวใจนุ่งผ้าถุงกระโจมอก เพราะว่าซักผ้าเยอะขนาดนั้นต้องตัวเปียกอยู่แล้ว ส่วนไพจิตรยังใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้น แต่ตัวเธอก็เปียกม่อกล่อกม่อกแล่ก ทั้งสองซักไปหยอกเย้าหัวเราะกันไป ตอนเข็นรถที่มีผ้าห่มเปียกกองซ้อนอยู่นั้นท่าทางหนักหนาเอาการ ดาวใจต้องออกแรงน่าดู ไพจิตรก็คอยช่วยเข็นอีกแรง แต่นั่นแหละ เข็นไปดันไปและหัวเราะไป อะไรๆ ก็ดูรื่นรมย์ไปหมด จนกระทั่งผ้าห่ม ปลอกหมอน ผ้าปูที่นอน ถูกแขวนตากจนหมด ดาวใจถึงไปเปลี่ยนเสื้อผ้า

ฉันมองเด็กหญิงสองคนแล้วก็คิดไม่ได้ว่า ทำไมพวกเธอยังคงรักษาความเป็นเด็กได้นานอย่างนี้นะ เสียงหัวเราะ ความสนุกสนานในสิ่งที่ทำ จำได้ว่ามักจะมีอยู่ในเด็กๆ แต่พอเราโตขึ้น เรามักเห็นว่างานคืองาน เล่นคือเล่น เราไม่เคยรู้สึกว่าเล่นคืองาน งานคือเล่น เราจึงไม่สนุกกับการทำงานอีก

เมื่อวานนี้ฝนตกพรำๆ  ดาวใจกับไพจิตรเดินลงมากับแม่ และแวะนั่งเล่นที่บ้านฉัน แม่ของเธอขึ้นไปทำงานที่สหกรณ์ก่อน ปล่อยเด็กหญิงทั้งสองนั่งเล่นบนเปลที่ฉันผูกใต้ถุนบ้านข้างๆ ทั้งสองคนนั่งร้องเพลงงุ้งงิ้ง เคล้ากับสายฝนเย็นฉ่ำ ฉันได้ยินได้ฟังก็พลอยอารมณ์ดีไปกับพวกเธอ

ไม่นานนัก นูโวพี่ชายคนก่อนดาวใจ มาบอกว่าแม่ให้เกี่ยวหญ้าไปให้ควายด้วย เด็กหญิงทั้งสองยังไม่ขยับลุกทันที หากแต่จับลูกแมว (ตอนนี้มันโตขึ้นมาก) มาเล่น พากันหยอกแมว ได้ยินเสียงหัวเราะต่อเนื่องมาตลอด ฉันแบ่งขนมที่เพื่อนส่งพัสดุมาจากมหาสารคามใส่ถ้วยไปให้พวกเธอ

อดถามดาวใจอีกครั้งไม่ได้ว่า ดาวใจตอนนี้อายุเท่าไหร่แล้ว
ดาวใจบอกว่า “สิบสี่”
จะขึ้นชั้นไหนแล้วล่ะ
“ม.3”
ฉันหัวเราะหึๆ นี่เด็กอายุสิบสี่หรืออายุสิบขวบกันแน่ ดูเด๊ก เด็ก ถ้าเป็นเด็กกรุงเทพฯ นะ เค้าเป็นสาวกันแล้ว บางคนเป็นนางแบบ เป็นนักร้อง กันแล้วด้วย

ส่วนไพจิตรล่ะ
เด็กหญิงยกมือขึ้นชูตัวเลขและโบกไปมา
“ป.5” เด็กหญิงยิ้มแฉ่ง
กินขนมเสร็จ ดาวใจก็ชวนไพจิตรเกี่ยวหญ้า ขณะที่ฝนพรำบางๆ แต่เด็กทั้งสองไม่กลัวฝน ไม่กลัวเปียก ยิ่งไพจิตร ระหว่างเธอเดินไปยังบริเวณที่หญ้าขึ้นเยอะๆ มือหนึ่งเธอถือเคียวไป ส่วนอีกมือหนึ่งเธอก็โบกรำ ร้องเพลงไปอย่างเจริญใจ พอสายตาเธอมาเจอะกับฉันที่แอบมองเธอจากหน้าต่างบ้าน เธอก็ยักไหล่ รีบหยุดร้อง พลางยิ้มขวยเขิน

ฉันได้แต่หัวเราะ
อิจฉาเด็กพวกนี้จริง ทำไมจิตใจเบิกบานได้ขนาดนี้นะ

หรือเป็นเพราะเธอเกิดและเติบโตในที่ที่อากาศดี จิตใจจึงเบิกบาน เถียงนากลางทุ่งเป็นที่นอนที่อยู่มากกว่าบ้านจริงๆ ในหมู่บ้าน เด็กทั้งสองกินนอนและใช้เวลาอยู่ที่นั่นมาตั้งแต่ยังเล็ก

สงสัยฉันเองก็ต้องหาสถานที่ที่มีอากาศดีๆ ให้ลูกแล้วล่ะ หากอยากให้แกอารมณ์ดี สายลมต้องกินได้ ทำให้ชีวิตจิตใจเจริญเติบโตได้ ใช่เพียงแค่อาหาร

ฉันเคยไปเถียงนาของเด็กหญิงยังจำได้ว่าที่นั่นลมพัดตลอด สบายที่สุด
ตอนนี้ไฟฟ้าเข้าถึงแล้ว เด็กทั้งสองได้ดูละครโทรทัศน์กลางนาอย่างมีความสุข ถ้าเรื่องไหนไม่สนุกก็นอนหลับ ถ้าเรื่องไหนสนุกก็ดูกัน อย่างตอนนี้ ทั้งสองติด “แจ๋วใจร้ายและคุณชายเทวดา” ตื่นเช้ามาพากันเล่าถึงฉากสนุกๆ กันอีกครั้งอย่างออกรสออกชาติ แถมมาเล่าให้ฉันฟังด้วยว่าสนุกยังไง ไพจิตรนั้นยิ่งอยากเล่าก็ยิ่งติดอ่างคล้ายว่าคิดคำพูดไม่ออก ยิ่งฟังก็ยิ่งตลก ไม่ใช่ตลกเรื่องในละคร แต่ตลกที่เธอติดอ่าง พูดไม่ทันใจ

ฉันได้แต่ยิ้ม
วันนี้ตอนที่ทั้งสองคนยังว่างๆ กันอยู่ (ยังไม่ถูกเรียกให้ไปเกี่ยวหญ้า) ดาวใจกับไพจิตรก็พากันเก็บดอกไม้และร้อยรัดเข้าด้วยกันเป็นช่อ เอามาให้ฉัน
“อื้อ” ดาวใจยื่นให้โดยไม่บอกว่าให้
“ให้เหรอ” ฉันถามย้ำอีกครั้ง
เธอพยักหน้า
ฉันบอกขอบคุณค่ะ แล้วจัดแจงใส่แก้วน้ำไว้ ช่างเข้ากันเหลือเกินกับบ้านดินหลังนี้
ดอกหญ้ากับบ้านดิน
ฉันมองแล้วก็ได้แต่ยิ้ม หวนคิดถึงคำว่า “เหมาะสม” หรือ “บริบท”

การที่สิ่งใดจะเกิดขึ้นหรือเป็นไปนั้นมันมีที่ทางของมัน มีความเหมาะสมของมัน บ้านดินหลังนี้คงไม่เหมาะกับคาร์เนชั่นหรือลิลลี่แน่ แม้ดอกไม้สองชนิดนี้จะสวยงามเพียงใด เพราะมันมีบริบทของมันที่จะทำให้มันเหมาะกับอะไร

เช่นเดียวกับวิถีชีวิตผู้คนที่นี่ มีความพอดิบพอดีแล้วกับการกินอยู่อย่างเป็นธรรมชาติ หิวเดินเข้าป่า ลงแม่น้ำ ไม่ใช่ยึดทรัพยากรธรรมชาติของเขาไปแล้วบอกว่าจะสร้างอาชีพใหม่ให้

ซึ่งจนถึงทุกวันนี้ ยังไงๆ ฉันก็ไม่เคยรู้สึกว่าอาชีพการเลี้ยงปลาในกระชังมันจะเหมาะกับลูกแม่มูนเลยสักนิด เช้าค่ำต้องโปรยอาหาร (ที่มาจากซีพี) ให้ปลา แทนที่จะได้เดินถือแห มอง ตุ้ม พายเรือลงแม่น้ำอย่างงามสง่า

เพราะหากเราเกิดและเติบโตในบริบทที่ต่างกัน แล้วไม่ยอมเรียนรู้กัน ไม่ยอมเปิดใจยอมรับกัน มันก็คงยากที่จะทำให้เข้าใจได้จริงๆ ว่าทำไมแต่ละคนถึงเลือกอย่างนั้นอย่างนี้ ทำไมไม่เลือกเหมือนตัวเอง ร้ายไปกว่านั้นก็พาลตำหนิคนที่คิดไม่เหมือนเรา อย่างเช่นเสื้อเหลืองเสื้อแดงตอนนี้แหละ

(อ้าว! มาลงเรื่องนี้จนได้ 555)

บล็อกของ สร้อยแก้ว

สร้อยแก้ว
  ๑.ผูกพัน เป็นชื่อเพลงเพลงหนึ่งไม่บ่อยนักที่ฉันจะได้ฟังเพลงสักเพลงแล้วมันตรึงเราให้อยู่นิ่งๆ ตั้งอกตั้งใจฟังจำได้ว่า วันนั้นฉันนอนเปลที่ผูกเข้ากับเสาอาคารและต้นไม้ข้างศูนย์ฯ มีกิจกรรมค่ายของน้องๆ วัยมัธยมและมหาวิทยาลัยราวสี่สิบคน บรรดาพี่เลี้ยงเป็นคนทำงานด้านสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมที่แต่ละคนล้วนฝีมือฉกาจฉกรรจ์ โดยเฉพาะ แคน และน้องผู้ชายอีกคนจำชื่อไม่ได้ (มาจากแก่งเสือเต้น) ดำเนินกิจกรรมให้กับเด็กๆ ได้อย่างมีสาระและสนุกสนาน เรียกว่าเอาอยู่ เก่งมากๆ
สร้อยแก้ว
 หน้าบ้านดอกโมกบานก่อนเพื่อนดอกมะลิตามมาดอกคูนเริ่มผลิไสวลั่นทมสี่ต้นที่เคยปลูกเองกับมือก็ผลิดอกให้ชมเร็วทันใจปีที่แล้วนี้เอง, ตอนนั้นเอามาปลูกกับเด็กหญิงไพจิตรพายุคะนองทำให้กิ่งก้านใหญ่ของลั่นทมหน้าศูนย์ฯ หักฉันแบ่งออกเป็นสี่กิ่งปลูกรอบบ้านดินไม่คิดว่าวันหนึ่งจะได้มาอยู่บ้านหลังนี้ลั่นทมกลิ่นหอม ชอบเด็ดมาดมดอกพุก ไม้ยืนต้นก็บานแล้วสีขาวดอกยอกขี้หมาส่งกลิ่นหอมจากคืนถึงเช้ามันเป็นดอกที่ชื่อกับตัวไม่เข้ากันเลยยอกขี้หมาสีขาวร่วงหล่นบนพื้นสีขาวเกลื่อนทางเดินดูสวยดียามเช้าตื่นมาเดินเล่น สูดดมกลิ่นหอมของดอกไม้แสนสดชื่นเย็นวันนี้…
สร้อยแก้ว
แม้ม็อบเสื้อสีๆ จะซาลงไปแล้ว (ซาแต่นามภาพ-รูปธรรม แต่ในความรู้สึกนั้นยังคงไหลแรง) แต่ฉันก็ยังเชื่อว่าคนที่เข้าร่วมแต่ละกลุ่มย่อมมีความคิด มีทัศนคติที่ชัดเจนของตนเอง อย่างที่ทิ้งท้ายไว้ในตอนที่แล้วว่าฉันจะนำความคิดของ ไม้หนึ่ง ก.กุนที มานำเสนอ เพราะเห็นว่าวิธีคิดของเขาน่าสนใจมาก ซึ่งแม้ปัจจุบันฉันจะยังอยู่ขอบปลายชายแดนอีสาน ไม่มีโอกาสได้เจอหรือพูดคุยกับตัวตนจริงๆ ของเขา และบทสัมภาษณ์ที่คัดลอกมาฝากนี้ก็เคยผ่านหน้านิตยสารมาบางส่วนแล้ว แต่ฉันก็ยังอยากให้ใครอีกหลายๆ ที่อาจยังไม่ได้ผ่านตากับความเห็นเหล่านี้ได้ลองอ่านเล่นๆ ดูบ้าง
สร้อยแก้ว
ไม้หนึ่ง ก. กุนที - เป็นใคร? สำหรับคนที่ไม่ได้สนใจงานเขียนประเภทกวีนิพนธ์หรืองานวรรณกรรม ก็มีความเป็นไปได้สูงที่อาจจะตั้งคำถามนี้ แต่สำหรับแวดวงนักเขียนหรือคนที่สนใจงานวรรณกรรม ย่อมรู้จักเขาดีว่าเขาคือหนึ่งในกวีหัวก้าวหน้าที่มีความสามารถสูงในด้านฉันทลักษณ์จนก้าวพ้นกรอบกฎเกณฑ์ของฉันทลักษณ์ไปได้อย่างสง่างามและพยายามที่จะให้ฉันทลักษณ์รับใช้ศิลปะ มีชีวิตชีวา มากกว่าเพียงแค่ถ้อยคำไพเราะเพราะพริ้ง
สร้อยแก้ว
แมนยูฯ คือ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ศูนย์ฯ คือ ศูนย์ภูมิปัญญาไทบ้านปากมูนฉันย้ายจากบ้านเช่าในเมืองโขงเจียมมาอยู่บ้านดินของศูนย์ภูมิปัญญาไทบ้านปากมูน ได้ ๑ เดือนเต็มๆ แล้วและนับตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ภายในบ้านที่มีโทรทัศน์ใส่กล่องกระดาษตั้งอยู่ มันก็มีหน้าที่เป็นพนักพิงยามเขียนหนังสือ (กับโต๊ะญี่ปุ่น) ให้เท่านั้น ฉันขอความร่วมมือจากคนร่วมชายคาบ้านว่าหากอยากดูข่าวสารจากโทรทัศน์ก็ช่วยออกแรงเดินสักร้อยกว่าเมตรไปดูในห้องทำงานของศูนย์ฯ เถอะนะ ซึ่งที่นั่นจะมีน้องชายอ้วนดูอยู่เป็นประจำ (และนอนที่นี่) คนอาศัยชายคาเดียวกันก็นับว่ามีน้ำใจยิ่ง ให้ความร่วมมือกับคนเรื่องมากอย่างฉันโดยดี
สร้อยแก้ว
ไม่ได้ตั้งใจจะเลี้ยงเล้ยยยยย... จริงๆ พับเผื่อยซิ วันประชุมสมัชชาคนจน ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบความเดือดร้อนจากการสร้างเขื่อน ได้มาประชุมปรึกษาหารือกันที่ศูนย์ภูมิปัญญาไทบ้าน เจ้าแมวตัวนี้นอนซุกอยู่ในรองเท้าเจ้าอ้วน - เด็กอ้วนแห่งรายการวิทยุชุมชน เด็กๆ แถวนี้บอกว่าพี่น้องมันตายไปหมดแล้ว หมาฟัดเรียบฉันได้แต่ฟังเขาพูด ไม่ได้ขึ้นไปฟังเขาประชุมด้วย เลยไม่รับรู้ต่อการมีอยู่ของมันแต่ว่าพอบ่ายแก่ๆ ก็มีมือดีจับใส่กระเป๋าเสื้อเดินมาให้ที่บ้านดิน"อยู่ที่นี่ดีกว่านะ ไม่งั้นเดี๋ยวมันจะถูกหมาฟัดตาย"เจ้าของเสียงดึงมันออกมา ตัวเล็กๆ อยู่ในอุ้งมือเดียวเท่านั้นของชายหนุ่มฉันมองแล้วทั้งยิ้มทั้งถอนใจ
สร้อยแก้ว
ร้อนๆ อย่างนี้ ซื้อน้ำแข็งกินทีไร ก็อดคิดถึงตู้เย็นไม่ได้ทุกที ถ้ามีตู้เย็นฉันคงจะซื้อน้ำแข็งกินไม่เปลืองเท่านี้ เพราะกินเท่าที่ต้องการ เหลือก็ใส่ตู้เย็น หรือบางทีก็ทำน้ำแข็งกินเองก็ได้ ส่วนของสดหรืออาหารที่กินเหลือก็แช่ตู้เย็นไว้ได้ หิวเมื่อไหร่ก็นำมากินได้อีก ไม่เปลือง อืมม์! คิดทีไรก็อยากกลับไปเอาตู้เย็นที่กรุงเทพฯ ทุกที แต่ก็ติดตรงที่ฉันไม่เคยแน่ใจสักทีว่าจะปักหลักที่ไหน การเคลื่อนย้ายบ่อยจึงไม่เหมาะที่จะมีสัมภาระอะไรมาก นี่ขนาดว่าไม่มาก ฉันก็ยังซื้อโทรทัศน์ (ไว้ดูข่าวสารบ้านเมือง) เครื่องซักผ้า (แก่แล้ว นั่งซักปวดหลัง) หนังสืออีกหนึ่งเข่งและข้าวของจิปาถะอีกสองเข่งกับอีกสองลังเสื้อผ้า…
สร้อยแก้ว
ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการสร้างเขื่อนสิรินธรเมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๔ ได้จัดงานรำลึก ๑๕ ปีในการต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ในบริเวณแถบอีสานใต้นี้ นับว่ามีปัญหาของชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายของภาครัฐอยู่หลายโครงการ เอาแค่ใกล้ๆ ที่ฉันอยู่ มีปัญหาจากการสร้างเขื่อนอยู่สามโครงการคือ เขื่อนสิรินธร เขื่อนปากมูน และเขื่อนราษีไศล
สร้อยแก้ว
  "ท่านเป็นเจ้านาย มีเงินเดือนกิน ท่านบ่ได้เป็นแม่ค้าหาเช้ากินค่ำ ท่านจะเว้าจังได๋ก็ได้"คำพูดของแม่ค้าคนหนึ่งดังอยู่ข้างหูเมื่อทุกคนมายืนรอฟังคำตอบจากการไปเจรจากับทางเทศบาลมาเสียงโทรศัพท์ที่ดังแต่เมื่อคืนบอกถึงเจตจำนงในการจะยึดพื้นที่ค้าขายกลับคืนมาในช่วงเวลาราวตีหนึ่งเศษทำให้เพื่อนบางคนที่ทำงานในศูนย์ภูมิปัญญาไทบ้านต้องรีบออกไปดูแต่เช้า และแน่นอนด้วยความอยากรู้อยากเห็นฉันก็ขอกระเตงติดรถไปด้วยคน
สร้อยแก้ว
ฉันมีโอกาสไปดูงานรณรงค์เลิกเหล้าของหมู่บ้านคำกลาง ตำบลโนนหนามแท่ง อำเภอเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ เมื่อหลายเดือนก่อน ตำบลนี้มีกำนันคนเก่งเป็นผู้หญิงชื่อ รัตนา สารคุณ ก่อนนี้แม่กำนันเคยเป็นนักเลงสุรา ดื่มเหล้าหนัก แม่กำนันดื่มเหล้าเพียวและดื่มน้ำตบตูดแบบเดียวกับที่ผู้ชายพื้นบ้านนิยมดื่มกัน และแม่คอแข็งชนิดผู้ชายต้องยอมแพ้ แต่สุดท้ายเมื่อเวลาผ่านไป กาลเวลาสามารถพิสูจน์ความสามารถของเธอได้มากกว่าการพิสูจน์ความกินทนกินนาน ใจป้ำ ใจแกร่ง ในวงสุรา แม่กำนันก็เห็นโทษของการดื่มสุรา และหันมารณรงค์ให้ลูกบ้านลดละเลิกเหล้า
สร้อยแก้ว
  นึกไม่ออกแล้วว่าเคยไปร่วมงานวันเด็กครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่พยายามนึก...ลูกก็ยังไม่มี หลานรึ ก็ไม่เคยได้พาไป เพราะไม่ค่อยได้อยู่บ้านงานวันเด็กครั้งสุดท้ายของตัวเองน่าจะเป็นตอนที่ยังเรียนอยู่ชั้น ป.๖ นั่นแหละ เพราะหลังจากนั้น พอขึ้นชั้น ม.๑ ความแก่แดดแก่ลมของฉันก็พลันให้รู้สึกว่าตัวเองเป็นสาววัยรุ่นแล้ว ไม่ใช่เด็ก จึงไม่เคยไปวอแวงานวันเด็กอีก ไม่อย่างนั้น เค้าจะหาว่าเด็กจนปีใหม่นี้ฉันมีโอกาสไปนอนมองพระจันทร์กลางทุ่งนา มองฟ้าพร่างดาวเคลื่อนคล้อยข้ามคืนข้ามปีในช่วงปีใหม่ที่อำเภอกุดชุม จังหวัดยโสธร ก็เลยได้อยู่ยาวมาเรื่อยจนถึงงานวันเด็กของหมู่บ้าน