Skip to main content
เงาศิลป์
“เจ้าสองตัวนี่ เป็นนักล่าที่เก่งกาจ ดูที่อุ้งตีนมันสิ ใหญ่กว่าหมาทั่วไป” ลุงเจนบอก เมื่อเราเดินเล่นไปจนถึงนาของแก เสียงลิ้นตวัดน้ำในสระดังขวับ ๆ ๆ เพราะความหิวกระหาย มันคงเหนื่อยอ่อนทีเดียวเพราะต้องเดินดั้นด้นมุดกอหญ้าที่ท่วมตัว ดีว่ามีกันสองตัวพี่น้องจึงพอสนุกสานหยอกล้อไล่กัดกันไปพลาง ชวนขุดหามดหาแมลงกินกันไปพลาง ระยะทางเกือบกิโลเมตรจึงพอเดินสบายๆ ในยามแดดร่มลมตกเช่นนี้ฉันมีเจ้าสองตัวเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขมาได้สิบกว่าวัน อายุของมันทั้งสองราวๆ 2 เดือนกว่า กำลังกินกำลังซนและมันทั้งคู่ต่างประกาศนิสัยส่วนตัวออกมาอย่างชัดเจน  เจ้าเสือตัวโตกว่าเพราะกินเก่งกว่า ขี้เล่น ห้าวหาญ ช่างประจบเจ้าเก๋า ตัวเล็ก ขี้ขลาด หวาดระแวง ไม่ชอบสุงสิง ไม่ชอบการถูกอุ้ม ไม่ชอบให้ใครมาตอแย ไม่ชอบคำสั่งใดๆทั้งหมด นอกจากคำว่า “มากินข้าว”เย็นวันหนึ่ง  ฉันเตรียมตัวจะกลับบ้านที่ใต้ จึงต้องหาของไปฝากคนที่บ้าน"ไปเก็บสมุนไพรกันเถอะ" ฉันเรียกเจ้าเพื่อนยาก ที่วิ่งไล่งับหลังกันอยู่ที่ลานบ้าน ส่วนใหญ่เจ้าเก๋าจะถูกเจ้าเสืองับ นานๆทีที่เจ้าเก๋าฮึดสู้กัดตอบ ...ก็มันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เกิดแล้วนี่เราทั้งสามมุ่งหน้าไปทางท้ายไร่ แม้ว่าอากาศหนาวจะกระหน่ำสายมาเป็นระลอก ด้วยแสงอาทิตย์เริ่มโรยรา ฉันหมายตาเครือเถาว์"หนอนตายอยาก" เอาไว้นานแล้ว ฤดูหนาวเครือมันเริ่มเหี่ยวเฉาน่าขุดนัก หัวคงสมบูรณ์เต็มที่ มีใครบางคนเป็นมะเร็งในช่องปาก ได้รับการฉายแสงและกลับมาบ้านรักษาตัวเองด้วยยาสมุนไพร บอกว่าอยากได้พืชชนิดนี้ โชคดีที่ไร่ฉันมีอยู่ทั่วไป และโชคดีกว่านั้นคือเป็นชนิดตัวผู้ ที่หัวใหญ่กว่าตัวเมีย สรรพคุณทางยามีมากกว่า เดิมฉันขุดมาเพื่อทำน้ำสกัดชีวภาพฉีดไล่แมลงที่มากินพืชผัก ตอนนี้มีคนบอกว่ารักษาโรคมะเร็งได้จึงยินดีที่จะหาไปฝาก อ้อ...วันก่อน เมียตาเก้ เดินเล่นมาที่ไร่ บอกว่าแกเองก็กินยาตัวนี้รักษาโรคเบาหวานด้วย ..ฉันก็จดจำบันทึกไว้ในสมองนั่นแหละ เผื่อโอกาสต่อๆไปจะได้นำมาวิเคราะห์วิจัย เก็บเอาไว้เป็นสมบัติของโลกตะวันลับตีนฟ้าไปแล้ว แต่ฉันยังคงขุด ขุด และขุด เพราะเจอเข้ากับหัวสมบูรณ์มากมาย ยิ่งขุดยิ่งเจอ เจ้าสองตัว(ดี)วิ่งไปวิ่งมา ประเดี๋ยวหาย ประเดี๋ยวโผล่ ฉันต้องคอยเรียก เพราะเห็นมันทั้งคู่วิ่งไล่กันไปทางโคกป่าทำเล "หินแม่ช้าง" ป่าใหญ่ที่มีสัตว์ป่าอันตรายบางชนิดอาศัยอยู่เริ่มมองไม่เห็นหัวสมุนไพร ต้องใช้มือคลำ กวาดเก็บลงถุงพลาสติก เจ้าเสือนอนหอบแหง่กๆ อยู่ข้างหลุม แต่เจ้าเก๋าหายไป ฉันเริ่มกังวลใจเพราะรุ้ว่าพี่น้องร่วมท้องของพวกมันอีก 5 ตัว ถูกลากไปกินตั้งแต่นอนตัวแดงๆ ในดงอ้อยข้างเถียงนาตาลี  เพราะแม่มันไปออกลูกไว้ที่นั่นอะฮ้า ตายแน่ฉัน..."ตาลี" คงเล่นงานเอาแน่ ของรักของหวงของแกเสียด้วย เพราะว่าพ่อของเหล่าลูกหมา ก็เพิ่งเป็นไข้ตาย ที่แกยอมให้เอามาเลี้ยงเพราะสงสารที่ฉันต้องอยู่อย่างวิเวกวังเวงในยามค่ำคืน คนหรือสัตว์ร้ายเข้ามาในไร่ก็คงไม่รู้เรื่องถ้าไม่มีหมาเฝ้ายาม แต่ตอนนี้เจ้าเก๋าหายไป !!!"เก๋าเอ๊ยเก๋า เก๋าเอ๊ย" ฉันตะโกนเรียกเสียงดัง เจ้าเสือทำเสียงงี๊ดๆ อยู่ข้างเท้า ค่อยๆเบียดตัวเข้ามาชิดเอ...หรือว่ามันได้กลิ่นอันตราย ฉันได้ยินเสียงแปลกๆ เป็นเสียงที่แหลมๆเล็กๆ คล้ายเสียงแมวร้อง แว่วมาจากทางในป่า แต่ชาวบ้านบอกว่าถ้าเป็นหมาจิ้งจอก มันต้องร้อง จ๊อก ๆ ๆ ๆ นี่นา และมักจะออกมาหากินตอนดึกๆ เอาล่ะซี เจ้าเก๋า ซวยแล้วไหมล่ะฉันตะโกนเรียกซ้ำๆ อยู่หลายครั้งสักพักฉันได้ยินเสียงแกรกๆ ลากเท้าเบาๆเข้ามาใกล้ แต่เป็นคนทิศทางกับป่า...โธ่..เจ้าเก๋านะเจ้าเก๋า หายไปไหนมา ฉันโล่งอก เจ้าเสือดีใจจนกระโดดงับหลังเจ้าเก๋า ส่วนเจ้าเก๋ากระดิกหางกุดๆ ดุ๊กดิ๊ก ๆ ในความสลัว อย่างไม่รู้ประสา น่าตีนัก"กลับบ้านเหอะมืดแล้ว"  มืดค่ำจนแทบไม่เห็นทางเดิน เจ้าสองตัววิ่งสลับนำหน้าบ้าง ตามหลังฉันบ้างจนมาถึงบ้าน รู้สึกโล่งใจที่ไม่ต้องเสียหมาไปเพราะความโลภในยาสมุนไพรถ้ามันหายไปในตอนที่โตแล้ว ฉันอาจจะคิดว่า มันกลับเข้าไปสู่สังคมดั้งเดิมในรุ่นทวดของมัน  เพราะยังมีญาติเลือดนักล่าอยู่ในป่าหินแม่ช้างนั่นเองความเป็นนักล่าในตัวมันจึงไม่จางหาย แม้ตอนนี้ฉันจะเห็นแค่ว่า มันล่าได้เฉพาะมดตัวเล็กๆก็ตามอย่างหนึ่งที่ฉันรู้สึก เหมือนที่คนละแวกนี้เขารู้กัน คือ หมาชนิดนี้มีสัญญาณพิเศษที่ไม่ต้องใช้คำสั่งใดๆในการล่า เพราะมันจะสังเกตสิ่งแวดล้อม และจัดการทุกอย่างตามวิสัยล่าโดยตัวมันเองเช้าวันที่ฉันเตรียมตัวจะออกมาจากไร่ โดยไม่ได้บอกกล่าวอะไรมันเลย ทั้งสองตัวต่างนอนซึมนิ่งเงียบที่ลานบ้าน อย่างผิดปกติ และเมื่อลุงลีขับรถมอเตอร์ไซด์มาดูว่าฉันออกจากไร่หรือยังเจ้าเสือกระโดดกอดขาของแกแน่น เหมือนขอร้องให้พามันกลับไปด้วย ทันทีที่แกเลี้ยวรถออกไปจากไร่ มันทั้งคู่วิ่งไล่กวดรถลุงลีอย่างไม่ยอมเหลียวหลัง ฉันทั้งขำทั้งใจหายด้วยความสงสาร หมาเอ๊ยหมา นั่นคือครั้งแรกที่มันตั้งใจทิ้งฉันไปจริงๆ 
แพร จารุ
  ฉันรู้สึกว่ามันเป็นช่วงปีใหม่ที่ไม่รู้สึกสดชื่นนัก ดูเหงา ๆ วังเวง ในท่ามกลางงานเลี้ยงรื่นเริงที่มีอยู่และเป็นไปตามวาระของมัน ความรู้สึกอย่างนี้มันอยู่ลึกลงไปแต่ฉันสัมผัสได้อย่างเย็นเยียบจริง ๆ ฉันไม่รู้ว่าคนอื่นจะรู้สึกหรือไม่ หรือว่าฉันรู้สึกอยู่คนเดียว ว่าเป็นปีใหม่ที่ไม่มีความรื่นเริงอยู่จริง มันหดหู่อยู่ภายในหัวใจอย่างไรไม่รู้ คล้ายรู้สึกว่า ความเศร้ามารอคอยเคาะประตูอยู่หลังบ้าน... หลังจากงานรื่นเริงจบลงฉันถามตัวเองหลายครั้งว่าความรู้สึกนี้เป็นจริง หรือว่าฉันกำลังจะป่วยด้วยอาการกลัวหรือกำลังจะเป็นโรคซึมเศร้า อะไรทำให้ฉันคิดอย่างนั้น หรือเป็นเพราะสภาพเศรษฐกิจของตัวเอง แต่ก็ไม่น่าจะใช่เพราะครอบครัวเราผ่านความยากจนมาจนเคยชินแล้ว จนเรามีความยากจนเป็นสมบัติของเราแล้ว หรือเป็นเพราะสภาพทั่วไปของสังคม เราอยู่ในสังคมที่น่ากลัว โดยเฉพาะสถานการณ์การเมืองที่ตึงเครียดตั้งแต่ช่วงมีขบวนการขับไล่ผู้นำรัฐบาลชุดเก่า ไปจนถึงทหารยึดอำนาจสู่รัฐบาลทหาร และมาถึงวันเลือกตั้งใหม่ สองพรรคการเมืองใหญ่ที่แบ่งแยกประชาชนอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งเพิ่มบรรยากาศการขัดแย้งชัดเจนความขัดแย้งตั้งแต่ระดับ บุคคลไปจนถึงชุมชน จังหวัด และระดับภาค เช่น กลุ่มภาคเหนือ กลุ่มภาคใต้ กลุ่มภาคอีสาน แรกฉันคิดว่าปีนี้ คงจะอยู่เงียบ ๆ อยู่กับบ้าน นั่งอ่านเขียนหนังสือแต่หาได้ทำเช่นนั้นเลย นอกจากมีงานเลี้ยงตั้งแต่ปลายเดือนแล้ว ยังมีญาติ มีเพื่อน ๆ หลาน ๆ เดินทางมาท่องเที่ยวเมืองเหนืออีกหลายกลุ่ม ซึ่งต้องออกไปกินข้าวในเมืองบ้าง รอรับที่บ้านบ้าง รอรับหลานที่บ้านสองชุดสองวัน หลานชุดแรกกลับไปแล้วก่อนหน้านี้สองวัน เธอมากันสามคน ท่องเที่ยวแถว "ปาย" และแวะมาค้างหนึ่งคืน บ่นกันว่า ผู้คนที่ปายมากเหลือเกิน ค่าที่พักหกร้อยบาท แย่งกันกิน แย่งกันอยู่ และสรุปว่าเหมือนถนนข้าวสารที่กรุงเทพฯหลานชุดที่หนึ่งเป็นหลานอา หลานชุดที่สองมาใหม่เป็นหลานน้า ทีมนี้ไปเชียงรายก่อน แล้วค่อยมาเชียงใหม่ มาถึงมุ่งตรงไปที่ดอยอินทนนท์ ฉันไม่ลืมที่จะบอกหลานว่า ให้ไปดูที่สร้างหอดูดาวบนยอดดอยด้วย เธอกลับมาในช่วงสาย ๆ รีบลงมาเพราะกลัวรถติดตอนเย็น พร้อมกับบอกเล่าแบบเดียวกันคือคนเยอะเหลือเกิน รถติดบนดอยด้วย และไม่มีที่พักต้องกางเต๊นท์ติด ๆ กัน ค่ากางเต๊นท์สามร้อยบาทและไม่ได้ดูอะไรเลย ไม่ได้ดูสถานที่สร้างหอดูดาว แต่เธอคิดว่าไม่เหมาะสมที่จะสร้างอะไรแล้วดูมันแน่นไปหมด เธอว่าทั้งที่ฉันยังไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรเลย เธอว่าอย่างนั้นจริง ๆ เธอไม่รู้เรื่องที่ว่าต้องเอาน้ำจากชั้นใต้ดินที่มีอยู่ไม่มากมาใช้ เธอไม่รู้หรอก ว่าที่สูงเช่นนั้นเอาน้ำมาจากลำธารไม่ได้ และเธอก็ไม่รู้เรื่องนกหรือพืชเฉพาะถิ่น แต่เธอชอบดอยอินทนนท์ เพราะเป็นดอยสูงที่รถขึ้นได้ เธอชอบสองข้างทางที่รถผ่าน เธอว่าการเดินทางมาที่ดอยนี้เหมือนมาเติมพลัง พวกเธอพากันหัวเราะเมื่อฉันบอกว่า บนดอยสูงที่ไปอยู่กันแน่นจนไม่มีที่นอน มาจากเมืองหลวงและจังหวัดอื่น ๆ ผู้คนพร้อมที่ใช้ที่จะเสพความสุขใจสุขกายจากธรรมชาติ แต่ไม่เหลียวแล และคิดว่าธุระไม่ใช่ หรือไม่ใช่เรื่องของคนที่อื่น เป็นเรื่องของคนเชียงใหม่ อย่างนี้เห็นทีจะไมได้แล้ว ธรรมดาเมื่อใคร ๆ มาถึงบ้านเรา (บ้านทุ่งเสี้ยว) เรามีที่นำเที่ยวก็มีอยู่อยู่สองแห่ง ยามเย็นไปเดินในโรงเรียนบ้านทุ่งเสี้ยว เดินออกกำลังกาย หรือเดินดูดอกไม้ ต้นไม้ และดูอาคารศิลาแลง พร้อมกับอธิบายให้ฟังว่า อาคารเรียนหลังนี้อายุเก่าแก่เกือบจะร้อยปีแล้ว หลังจากนั้นก็จะเดินต่อไปตลาดตอนเย็นข้างถนนไปกินโรตีเจ้าอร่อยของพ่อหลานซึ่งเป็นคนอินเดียที่ทำโรตีอร่อยและที่สำคัญคือสะอาดมาก ๆ และใช้ของดีในการปรุง ไม่ว่าจะเป็นแป้ง น้ำมัน และอื่น ๆ ที่เป็นส่วนประกอบในการทำโรตี เรียกว่าภูมิใจนำเสนอ จบรายการยามเย็น ยามเช้ามืด ๆ ก่อนสว่าง พวกเธอและเขาก็จะได้เดินไปเที่ยวตลาดเช้า ที่มีของขายสารพัด แวะดื่มกาแฟแบบดั้งเดิม ยิ่งกว่าโบราณอีก แก้วละสิบบาทกาแฟใส่นมข้นหวาน กินกับข้าวเหนียวสังขยาห่อละห้าบาท หรือจะกินกับขนมครกแบบดั้งเดิม ที่ไม่ใส่น้ำตาลหรือต้นหอมในน้ำกะทิ คือมีแต่แป้งกับกะทิ และมีน้ำตาลทรายไว้ต่างหาก ห้าบาทเหมือนกัน หรือจะกินข้าวหลามที่ย่างเผาอยู่ตรงนั้นก็ได้หลังจากนั้นซื้อผักพื้นบ้านไปทำกับข้าว เช่นแกงแค ผัดถั่วงอก มีถั่วงอกอยู่เจ้าหนึ่ง คนชายเป็นผู้ชายเขาเพาะถั่วงอกโดยไม่ใช้สารฟอกขาว ไม่ขาวอวบไม่อ้วน จึงต้องนำเสนอ และ ซื้อดอกไม้ ที่ชาวเขาเอามาขายกำละสิบบาท หลังจากนั้นกลับมาทำกับข้าวกินที่บ้าน กินข้าวนอนเปล อ่านหนังสือ จบ...เรามีที่เที่ยวแค่นี้แหละ...เพื่อนของหลานบอกว่า มาครั้งนี้ไปมาหลายแห่ง แต่ที่นี่ดีที่สุด ไม่มีคนมาก รู้อย่างนี้มาที่นี่ตั้งแต่วันแรกหลังจากส่งแขกกลุ่มสุดท้ายกลับไปแล้ว คืนที่ผ่านมาฉันรู้สึกหดหู่เป็นที่สุด และบอกกับตัวเองว่า โชคดีจังที่พวกเขากลับไปหมดแล้ว เพราะแถบบ้านเริ่มมีหมอกควันแล้ว ยามหัวค่ำเต็มไปด้วยควันไฟฟุ้งกระจายจนแสบตา เริ่มมีการเผา เผา และเผาแล้ว ส่วนหนึ่งเขาเผาเพื่อว่าจะกำจัดไม่ให้เกิดเพลิงไหม้ในฤดูแล้ง เรียกว่าชิงเผาเสียก่อน และส่วนหนึ่งเพื่อเปลี่ยนสภาพนาข้าวเพื่อปลูกพืชอย่างอื่น และส่วนหนึ่งคือเผาปกติเหมือนเช่นที่เคยเผา เช่นเผาขยะตามบ้าน ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ราชการ โรงเรียน หรือวัด ก็กำจัดขยะด้วยการเผา แน่นอนว่า กลุ่มควันที่เผาไปรวมกับกลุ่มควันต่าง ๆ เช่นท่อไอเสียรถยนต์ที่เข้ามามากมาย กับกลุ่มควันจากโรงงานขนาดเล็กขนาดกลางที่ระจายอยู่ทั่วไป ฟันธงได้เลยว่า ร้อนปีนี้ที่เมืองเหนือ เมืองแอ่งกระทะรับศึกหนัก เป็นเมืองในหมอกควันแน่นอนหากเป็นไปเช่นนี้ และไม่มีมาตรการอะไรออกมาตอนนี้ ต่อไปเด็ก ๆ จะเป็นภูมิแพ้มากขึ้น หรือรับโรคภูมิแพ้เป็นรางวัล เพื่อนที่เป็นพยาบาลบอกว่า ต่อไปมีแนวโน้มว่าจะเป็นภูมิแพ้ตั้งแต่เป็นทารกเลยแหละ ใครไม่มีลูกก็ถือว่าโชคดีไป ดังนั้นคนมีลูกต้องเตรียมพร้อมกันหน่อย ...ขอบอก
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ไม่ว่าคนจะเกิดดับนับเท่าใดโลกนี้ไม่เคยแปลกแยกคุณค่ายังเป็นโลกที่เคยเห็นเป็นธรรมดาใครจักมาใครจักพรากไกลจากจรดวงอาทิตย์ยังเวียนวกขึ้นตกดินสายน้ำรินยังเริงไหลไม่หยุดหย่อนดวงดาวและดวงจันทร์ยังสัญจรสายลมอ่อนหรือแรงจัดยังพัดพรายฟากฟ้ายังสูงส่งยังโล่งลึกดินยังผนึกมวลมิแยกแตกสลายกาลเวลายังเคลื่อนไหวไม่ว่างวายคนจักตายหรือก่อร่างมาอย่างไรมวลแห่งความจริงแท้ไม่แปรผันยังคงอยู่ชั่วนิรันดร์ไม่หวั่นไหวไม่ว่าคนจะเกิดดับนับเท่าใดโลกยังคงหมุนไปไม่ใยดีไม่โกรธเกลียดไม่รักไม่ผลักไสไม่อาลัยหักห้ามปรามวิถีใครจะเริงใครจะร่ำลาเวทีโรงละครแห่งนี้ไม่สะเทือนยุคแล้วยุคเล่าเก่าไปใหม่มาใต้อำนาจกาลเวลาขับเคลื่อนโอ้ผองเผ่าเราเกิดดับลับเลือนเหมือนความฝันคงอยู่ชั่วครู่-ชั่วยาม.
แพ็ท โรเจ้อร์
ไม่กี่วันที่ผ่านมาสังคมไทยก็ได้มีการเลือกตั้งส.ส. ไปแล้ว น่าตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะลุ้นกับเค้าเหมือนกันว่าใครจะมา และใครจะไป พลางให้นึกถึงเลือกตั้งที่สหรัฐฯ เมื่อ สาม-สี่ปีที่ผ่านมา ทำให้เห็นว่าอะไรที่จับกระแส “ประชานิยม” ได้ก็มักชนะ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด เช่น ชอบหรือกลัว เพราะกระแสประชานิยมไม่ได้ดูที่อะไรมากกว่า พวกมากลากไป หากพวกมากคิดเป็น ก็ดีไป ถ้าคิดไม่เป็นก็ซวยไป ทั้งนี้ คนที่รับความซวยคือคนทั้งหมด ไม่ใช่แค่คนที่เป็นพวกมาก หลายครั้งพวกมากก็เป็นพวกมากที่ไรัคุณภาพ แต่หลายครั้งก็เป็นพวกมากที่มีคุณภาพได้เช่นกัน แต่โอกาสที่จะเกิดนั้นมีน้อยกว่ามาก มีหลายคนถามว่าทำไมจึงเป็นเช่นนี้  ผู้เขียนตอบได้ว่ามันอยู่ที่ว่า “คิดเป็น” หรือไม่ต่างหาก ซึ่งเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ที่เห็นในสังคมทั่วไป ไม่ว่าไทยหรือสหรัฐฯก็คือ คนส่วนใหญ่จะอ่านหนังสือเป็น แต่ตีความไม่เป็น หรือรับข้อความได้ ฟังคนอื่นพูดได้ เข้าใจ แต่เข้าใจไม่ลึก ตีความไม่แตก และที่สำคัญขี้เกียจที่จะฟัง ขี้เกียจที่จะตีความ และไม่หาข้อมูลมาประเมินข้อความ แล้วมันก็ไปผูกกับระบบความคิดทั่วไป ทำให้คิดไม่เป็น คิดไม่แตก เห็นแก่ประโยชน์ใกล้ตัวแบบทันเวลา แบบเทโจ๊กใส่ซอง เติมน้ำร้อน ชงๆ แล้วจบกัน เพราะความง่ายๆ แบบนี้ จึงทำให้เกิดคำพังเพยสามัญว่า “รู้มากยากนาน รู้น้อยพลอยรำคาญ” เพราะคนที่รู้มากๆก็จะเกิดความยากในชีวิตมากมาย แต่นั่นคือวิธีคิดของคนที่คิดหน้าและหลัง รอบคอบ ส่วนรู้น้อย ก็เป็นในด้านตรงข้าม แต่ก็มีคน“คิดมาก” อันนี้ไม่เกี่ยวกัน เพราะคนคิดมากนั้นมีปัญหามากกว่าชอบแก้ปัญหา เป็นลักษณะของคนที่ไม่โตหรือ ไม่มีวุฒิภาวะ ขาดความมั่นคงทางจิตใจ ก็พบเจอมากมายในสังคมไทยพอสมควร แต่เวลาคุยด้วย พบว่าเป็นพวก “โลกหมุนรอบตัวกู” เสียทั้งนั้น
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
คนเราล้วนประสบชะตากรรมที่หลากหลายขณะ ‘เดินทาง’…และก็เช่นกัน – ที่ยุคปัจจุบันคนเรา ‘เดินทาง’ ด้วยวัตถุประสงค์และรูปแบบที่หลากหลายมากมายกว่าแต่ก่อนเราพ้นจากยุคสมัยของการเดินทางด้วยเรือกลไฟที่ต้องอาศัยเวลาเป็นแรมเดือนกว่าจะพ้นโค้งน้ำเข้าสู่น่านน้ำบ้านอื่นเมืองอื่น เราเลิกพึ่งพารถไฟที่ต้องถาโถมเชื้อเพลิงจากท่อนฟืนและก็เช่นเดียวกันรถม้า จักรยานหรือแม้แต่เกวียนเทียมวัวควายกลายเป็นพาหนะพ้นยุคตกสมัย ไปไหนมาไหนอืดอาดไม่เท่าทันความรวดเร็วของจิตใจและยุคสมัยแต่ไม่ว่ารถจะเคลื่อนไหวได้ว่องไวขึ้นหลายร้อยเท่าจากพาหนะที่ใช้พลังงานจากธรรมชาติ ไม่ว่าคนเราจะเคลื่อนที่หรือย้ายถิ่นข้ามเมือง ข้ามประเทศหรือข้ามทวีปได้ด้วยเครื่องยนต์ไอพ่นเหินฟ้าได้ชั่วไม่กี่ชั่วโมงหรือข้ามคืนก็บรรลุจุดหมายแล้วก็ตาม แต่คนเราก็ไม่อาจหนีพ้น “ชะตากรรม” ที่หลากหลายในระหว่างการเดินทางการเดินทางโดยปราศจากความจำเป็น ต้องพลัดพรากจากบ้านจากพ่อแม่ครอบครัวเพื่อนฝูงเพื่อออกเที่ยวถือเป็นชะตากรรมแรกที่คนเราหาญกล้าหยิบยื่นให้ตัวเองด้วยใบหน้าเปี่ยมสุขสุขเมื่อรู้ว่าจะได้ออกไปเผชิญกับความไม่แน่นอนและชะตากรรมอื่นๆ ที่รอท่าในการเดินทาง...คนหลายคนเดินทางเพื่อเพียงจะนั่งลง
เงาศิลป์
ฉันสังเกตดูรอบๆ บ้านหลังน้อยของลุงลี แทบไม่มีพืชผักที่พอจะเก็บกินได้ สงสัยอยู่ครามครันว่า ทำไมไม่ปลูก ในเมื่อแกเป็นคนเก่าแก่และเป็นคนเดียวที่อยู่ในป่านี้มานานถึง 20 กว่าปี ตอนที่ฉันได้หน่อกล้วยหอมพันธุ์ดีมาจากหนองคาย แกก็ยังอุตส่าห์เอาปุ๋ยขี้ควายมาให้ตั้งสามกระสอบ แถมยังสอนวิธีปลูกให้อีกด้วย เมื่อเห็นฉันลงมือขุดหลุมห่างๆ เพราะคิดว่าในอนาคตมันต้องแตกหน่อมาชนกันเอง แกกลับบอกว่าให้ชิดๆกันหน่อยจะดีกว่า เป็นแรงดึงดูดให้กล้วยโตเร็วขึ้น ฉันก็เอาตามนั้น ก้นหลุมกว้างลึกรองด้วยปุ๋ยมูลสัตว์สลับหญ้าแห้ง ดูเป็นวิชาการมากๆ ตามคำแนะนำของแกถามแกว่าจะเอาไปปลูกเองสักต้นไหม แกบอกว่าให้มันแตกหน่อจากกอที่นี่ก่อนแล้วค่อยเอาไปปลูก ซึ่งอีกนานเลยล่ะลุง  แกยืนยันตามนั้น และยังให้กำลังใจอีกว่าปลูกกล้วยรอบๆบ้านนี่แหละดีแล้ว โตเร็วชื่นใจดี  จริงของแก ทุกวันนี้ฉันรู้สึกดีทุกครั้งที่เห็นกล้วยแทงยอดใบอ่อนๆให้ชมแต่ที่ชื่นใจกว่านั้น คือถั่วฝักยาว ชนิดที่เรียกว่า “ถั่วปี” เป็นถั่วที่แม่มาหว่านไว้ตามพื้นตั้งแต่ฤดูฝนที่แล้ว ได้งอกงามเลื้อยเถาว์ยาวเหยียด ออกฝักดกดื่นให้เก็บกิน จนได้แบ่งปันไปถึงบ้านลุงลีโครงการแลกเปลี่ยนอาหารของเราพัฒนาไปไกลมากขึ้น ป้าแดงเมียลุงลีถามว่ากินข้าวเหนียวเป็นไหม แน่นอนอยู่แล้วของชอบ ฉันว่า“งั้นจะแบ่งให้นะ รอเดี๋ยว” แกทำท่าจะกลับเข้าไปในกระท่อม ฉันต้องบอกว่า กินเป็น แต่นึ่งเองไม่เป็น ป้าแดงหันมาอธิบายวิธีนึ่งข้าวเหนียว ซึ่งฉันพอจะรู้ แต่ที่บอกไปอย่างนั้นเพราะไม่อยากรบกวน รู้ว่าข้าว ปลา อาหารทั้งหลายเป็นสิ่งที่ครอบครัวนี้ต้องใช้อย่างประหยัดอีกวันหนึ่ง ป้าจัน เมียลุงสำรอง เดินเล่นๆมาที่กระท่อมของฉัน จึงหยิบมะขามหวานที่ได้มาจากไร่ของเพื่อนที่เมืองเลย แบ่งให้แกเพื่อเอาไปฝากลุงสำรองให้ชิมด้วย เนื่องด้วยครั้งที่ฉันยังไม่ได้สร้างที่พักเป็นเรื่องเป็นราว ได้แวะไปพักอาศัยเถียงนาของแกหลบแดดหลบฝน นับว่าเป็นคนมีบุญคุณต่อกันอยู่“แล้วจะเอาข้าวใหม่มาให้เน้อ” เมียลุงสำรองว่าอย่างนั้น ก่อนจะหันหลังเดินกลับไป ฉันบอกว่าไม่ต้องหรอก อีกไม่กี่วันก็ออกไปข้างนอกแล้วล่ะอีกราย เมื่อวันก่อนโน้น ที่ตลาดในตัวอำเภอ เมียเถ้าแก่ใหญ่ร้านขายเครื่องมือการเกษตร คุ้นเคยกันพอประมาณ คะยั้นคะยอให้แบกข้าวสารข้าวจ้าวกลับมาที่ไร่ เพราะที่บ้านเขาปลูกข้าวเพื่อขายกันเป็นอาชีพรอง ฉันปฏิเสธอีกนั่นแหละเพราะคิดว่าคงจะอยู่ในไร่ไม่นานแต่ในที่สุด ข้าวสารสองกระสอบก็มาถึงบ้านฉันจนได้ กระสอบหนึ่งเป็นข้าวจ้าว อีกกระสอบเป็นข้าวเหนียว โดยลุงลีเป็นผู้พามาให้ แกใส่รถอีแต๊ก ส่งเสียงแต๊กๆๆๆ  เห็นมาแต่ไกลๆ เพราะกว่าจะเลี้ยวเข้ามาจากปากทางเข้าไร่ มาถึงที่บ้านก็หลายร้อยเมตรฉันชอบดูเวลาที่ลุงแกขับอีแต๊ก หรือใครๆก็ตามที่ห้ออีแต๊กแบบสุดฤทธิ์ ความเร็วพอๆกับสุนัขไล่กวดแย้  ฉันนึกถึงคนยิบซีที่ขับเกวียนกลางทุ่งกว้างอย่างที่เห็นในหนัง  และในบริเวณนี้ มีแต่อีแต๊กที่สัญจรเป็นพาหนะหลัก ขาดก็แต่ม้าลากพา บางทีอาจไม่นาน โลกเราอาจต้องพึ่งพาแรงงานสัตว์อีกหน เพราะน้ำมันขาดแคลน...นอกเรื่องมาไกลสรุปว่า ฉันมีข้าวใหม่กินหอมชื่นใจ แต่ไม่มีปลามันๆ เพราะว่าที่นี่ไม่มีแหล่งน้ำสำคัญ และที่มีอยู่คือฝายน้ำล้นขนาดเล็ก ที่ปีนี้มีกฏใหม่เพิ่มขึ้น คือห้ามจับสัตว์น้ำทุกชนิดฉันคิดเล่นๆ ตามประสาคนจิตอยู่ไม่สุขว่า เป็นเพราะเราต่างมีความลำบากกันอยู่หรือเปล่า จึงยังมีน้ำใจต่อกัน ถ้าพวกเราละแวกไร่นี้ มีความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายกว่านี้ ต่างคนต่างซื้อหาอะไรก็ได้ เราจะยังมีอะไรแบ่งปันกันหนอ เพราะการจะมีเงินได้ ต้องมาจากการขาย การขายและการซื้อ เป็นการแลกเปลี่ยนที่ลดทอนรสชาดิของความสุขไปเยอะเลย หรือบางครั้ง ไม่เหลือความสุขอีกเลย เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรู้สึกว่าตนเองถูกเอารัดเอาเปรียบแต่ถ้าต้องหาที่อยู่ที่ลำบากลำบน เพื่อค้นหาการแบ่งปัน ฉันว่าในโลกร้อนๆ ของทุกวันนี้ คงหายากเต็มทน เพราะไม่นานความสะดวกสบายทั้งหลายจะเข้าไปถึงอย่างแน่นอน เพราะคนเรามักจะคิดว่า มันคือคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าฉันอาจจะมองสุดโต่ง เพราะบังเอิญได้มาอยู่ในที่ๆ ยังมีการแบ่งปันหลงเหลืออยู่อย่างไร้จริตจะก้านมารยาใดๆ ทุกวันศุกร์ ฉันมักจะไปหาเสบียงมาเพิ่มเติมจากตลาดนัดในหมู่บ้านที่อยู่ห่างออกไปราวๆ 4 กิโลเมตร ศุกร์นี้ ฉันชะลอเจ้าสองล้อเพื่อนยาก หยุดพักที่เถียงนาลุงลี เพื่อแวะเอาปลาตะเพียนตัวเล็กๆ ที่แม่ค้าบอกว่าจับมาจากลำน้ำเซิน แบ่งให้ป้าแดงไว้แกงกินอย่างน้อยข้าวใหม่กับปลา (ที่น่าจะ) มัน ก็ได้เจอกันแล้ว นะป้านะ 
แสงดาว ศรัทธามั่น
ภาพประกอบจาก http://www.flickr.com/photos/poakpong/2074673141/ ... โ ล ก นี้ก็เป็นฉันนี้เองบรรเลงเพลงรัก - ชัง – โฉดชั่วช้าทั้ง ง ด งา ม เ ริ ง ร่า พริ้มชีวาหลอมวิญญาณ์ โอบกอดรักงามแอบอิงมิได้พร่ำเพ้อ รันทด ฤา โศกศัลย์ด้วยเรานั้น ณ เพลานี้ ดวงใจนิ่งต่อชีวิต ต่อสัจธรรม ต่อความจริงกับชีวีทุกสิ่ง ย่อมเป็นไปน้อมรับรู้ เรียนรู้ ด้วยวิถีปัจเจกจักรวาล เอกภพ โลก ขับเคลื่อนไหวพราวเส้นทางช้างเผือก พริ้มอำไพโอบกอดดวงใจเพื่อนมนุษยชาติ พิลาสพลันพริ้วบทเพลงพริ้งเพราะเสนาะขับขานกล่อมพลังจักรวาลสู่โลก สู่สรวงสวรรค์ทั้งด่ำดิ่งลึกสู้ห้วงมหหานรก ห้วงโลกันตร์ไร้คืนวัน ไร้กาลเวลา ไร้ถิ่นที่พริ้มเพลงรักงดงาม มาทายทักชีพประจักษ์ สุขสงบ สว่างกระจ่าง ณ เวลานี้เมื่อเพลง รั ก หลอม รั ก แจ่มรุจีชีพชีวีจึ่งเริงร่า เปี่ยมพลังยลทุ่งฟ้ายามราตรีบทกวีดาวโลก พริ้งเพราะหวังเดือนดารา จรัสจ้า ณ ภวังค์กรรซิบสั่ง ร้องเพลงว่า ... อ ย่า จำยอม! 
ภู เชียงดาว
1.ฤดูหนาว...เชื่อว่าใครหลายคนคงรู้สึกชื่นชอบฤดูกาลนี้กันเป็นพิเศษ บางคนชื่นชอบเพราะชีวิตได้สัมผัสกับไอหนาว หมอกขาว ตะวันอุ่น...หลายคนอาจหลงรักดอกไม้ที่พากันแข่งชูช่อเบ่งบานล้อลมหนาวกันดื่นดาษ บางคนอาจชื่นชอบ เพราะเป็นฤดูกาลแห่งการถวิลหาความหลังที่ครั้งหนึ่งนั้นมีหัวใจที่เคยระรื่นชื่นสุขบางคนอาจชื่นชอบเพราะความสะอาดสดของอากาศของฤดูหนาวทว่าเมื่อหันไปมองคนอีกกลุ่มหนึ่งบนดอยสูง ในพื้นที่ทุรกันดารและห่างไกล...ฤดูหนาวกลับกลายเป็นความทารุณ โหดร้ายมากพอๆ กับความตายกันเลยทีเดียวใช่, ความหนาวทำให้หลายชีวิตต้องเผชิญกับความเป็นความตายมานับไม่ถ้วนแล้วหละนึกไปถึงร่างอันบอบบาง เนื้อตัวสั่นเทาของพ่อเฒ่าแม่เฒ่าที่นั่งงอเข่าอยู่ข้างเตาไฟในเพิงกระท่อมไม้ไผ่โย้เย้ใกล้ผุพังคิดถึงเธอ เด็กๆ บนดอยภู ที่เนื้อตัวผ่ายผอมมอมแมม สวมเสื้อเก่าบางและฉีกขาดนั่งล้อมวงผิงไฟอยู่ข้างกองไฟที่ใกล้จะมอดดับในคืนหนาวเหน็บหรือว่าความหนาว คือสิ่งที่โลกได้บรรจุเอาไว้ในหลักสูตรแห่งการต่อสู้และเรียนรู้ ชะตากรรมว่าชีวิตเอย...จงผจญ อดทน และฝ่าฟันเพื่ออยู่รอดให้ถึงวันพรุ่ง...2.เมื่อสัปดาห์ก่อน ผมกลับจาก อ.ฝาง มาพร้อมกับภาพถ่ายและความต้องการของชีวิตคนเล็กๆ กลุ่มหนึ่งทางการไทยและคนไทย เรียกพวกเขาว่า “ปะหล่อง” ในขณะที่พวกเขาเรียกตัวเองว่า “ดาระอั้ง”พวกเขาคือเผ่าพันธุ์พื้นเมืองที่ไม่ชอบความรุนแรงต้องระเหเร่ร่อนหนีตายจากสงครามความขัดแย้งในเขตพม่ากระทั่งพาครอบครัวหอบลูกหนีถอยร่นข้ามมายังฝั่งไทยทุกวันนี้ เขาได้มาขออาศัยสร้างกระท่อมไม้ไผ่อยู่บนเนินเขาในเขต อ.ฝาง ไม่ไกลนักจากรอยตะเข็บชายแดนแหละนี่คือถ้อยคำขอความเมตตาส่งผ่านมา...“บนดอยเล็กๆ ทางไปหน่วยจัดการต้นน้ำแม่เผอะ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ มีชาวปะหล่อง (ดาระอั้ง) ซึ่งอพยพมาบ้าง ตั้งถิ่นฐานแถบนี้มาแต่เดิมบ้าง อยู่กันเป็นชุมชนเล็กๆ อาศัยการรับจ้างและปลูกข้าวไร่ ทำมาหากินไปตามประสา หนาวปีนี้อุณหภูมิต่ำ และลดลงรวดเร็วจนน่ากลัว วันสองวันที่ผ่านมา เช้าๆ บนดอยแห่งนี้อุณหภูมิราว 6-8 องศา เด็กๆ และผู้หญิง รวมทั้งผู้เฒ่าผู้แก่ เจ็บป่วยกันมาก หากใครมีผ้าห่มเก่า หรือผ้าห่มสภาพที่พอใช้งานได้ กับเสื้อกันหนาว เสื้อวอร์ม กางเกงวอร์ม หมวกไหมพรม ถุงมือ ถุงเท้า ฯลฯ ทุกขนาด...สามารถส่งไปร่วมทำบุญได้ที่ี่ มูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ ตู้ ปณ.53 อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ 50110 หรือติดต่อ คุณน้อย อาภาวดี งามขำ 0867575156 โปรดอภัย ที่บางเวลาสัญญาณไม่ค่อยดี(เจ้าหน้าที่มูลนิธิจะรวบรวมแล้วนำไปให้กับพี่น้องปะหล่องเหล่านั้นเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้...และขอความกรุณางดบริจาคเป็นเงิน เพราะเป็นการเพิ่มภาระในการจัดซื้อจัดหาแก่คนทำงานมูลนิธิเล็กๆ แห่งนั้น)”3.“อ้าย...ช่วยขอบริจาคเสื้อกันหนาว ผ้าห่มให้หน่อย...”เสียงของน้องสาวอีกคนหนึ่งแว่วมาทางโทรศัพท์ไร้สายเธอเป็นคนเชียงดาวแต่ขึ้นไปเป็นครูดอยอยู่บนดอยสูงแถบ อ.อมก๋อม จ.เชียงใหม่บอกว่าบนดอยตอนนี้หนาวมากๆ "เอ็นดูละอ่อน บ่มีผ้าห่ม เสื้อกันหนาวกันเลย..." น้ำเสียงเธอวิงวอนล่าสุด, ผมนัดพบเธอข้างล่าง เธอเอารูปถ่ายบรรยากาศของเด็กๆ ชนเผ่าปว่าเก่อญอ หรือกะเหรี่ยงโปว์ รวมทั้งภาพศูนย์การเรียนฯ (น่าจะเป็นเพิงพัก หรือโรงนามากกว่า) มาให้ ก่อนบอกย้ำว่า อยากได้ผ้าห่ม เสื้อกันหนาว อุปกรณ์สำหรับเด็กนักเรียน รวมทั้งทุนที่จะนำไปจัดในกิจกรรมวันเด็กดอย ที่จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 12 มกรา 51 นี้...เธอบอกเล่าให้ฟังว่า..ที่ตั้งของศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา "แม่ฟ้าหลวง" บ้านห้วยลอก ตั้งอยู่ภายในชุมชนบ้านห้วยลอก ซึ่งเป็นชุมชนชาวปว่าเก่อญอ อยู่กัน 64 ครัวเรือน จำนวนประชากรทั้งหมด 316 คน หมู่ที่ 18 ต.นาเกียน อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ อำเภอที่ว่ากันว่าทุรกันดารห่างไกลที่สุดของ จ.เชียงใหม่ระยะทางอยู่ห่างจากตัวอำเภออมก๋อยถึง 50 กิโลเมตร บนถนนลูกรัง เป็นหลุมเป็นบ่อ ขรุขระและสูงชัน หน้าแล้งต้องใช้เวลาเดินทางลงไปตัวอำเภอกว่า 3 ชั่วโมง ส่วนหน้าฝนไม่ต้องพูดถึง หมู่บ้านแทบถูกตัดขาดจากโลกถายนอก ถนนปิด รถยนต์เข้าออกไม่ได้ ต้องอาศัยมอเตอร์ไซค์วิบาก ซึ่งต้องต้องใช้เวลาปีนป่ายขึ้นไปเป็นวันเลยทีเดียวแน่นอน ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงใช้การเดินเท้า เมื่อจำเป็นต้องลงมาติดต่อกับเมืองข้างล่างและเมื่อถึงยามหน้าหนาวครั้งใด...ทุกคนก็อยู่กับความหนาวเหน็บ เนื่องจากบนดอยสูง อากาศเย็นมาก ผู้คนจะคลายหนาวด้วยกองไฟ บางหลังคาเรือนก็ไม่มีผ้าห่มที่จะเพียงพอต่อสมาชิกในบ้าน จะซื้อก็ไม่เงินซื้อ เพราะชาวบ้านที่นั่นยากจน เพราะมีปัญหาเรื่องน้ำในการทำการเกษตร ต้องทำไร่ได้เฉพาะในหน้าฝนเท่านั้น ผมฟังเธอเล่าแล้วก็อดคิดไปต่างๆ นานา ไม่ได้...คิดไปถึงเมื่อครั้งที่ผมเคยเป็นครูดอย แล้วมานั่งมองน้องสาวคนนี้ ผ่านไปเป็นสิบปี เหตุการณ์บนดอยก็ยังเหมือนเดิม... และยังมองเห็นความแปลกแยก ความเหลื่อมล้ำที่ซ่อนซุกอยู่ในดงดอยอยู่เช่นเดิม เมื่อหันมามอง เปรียบเทียบกับหลายๆ ชีวิตในเมืองใหญ่น่าสนใจ น่าเห็นใจและสงสารเธอ...เมื่อรู้ว่าเธอ ครูผู้หญิงคนเดียว แต่ต้องรับผิดชอบทุกอย่างด้วยตัวเองเพียงลำพังสอนหนังสือดูแลเด็กในหมู่บ้านทั้งหมดถึง 82 คน(ซึ่งเมื่อนึกถึงตอนที่ตัวเองเคยสอนในช่วงนั้น ผมรับผิดชอบเด็กทั้งหมด 50กว่าคน นั่นก็ถือว่าเยอะมากแล้ว) "เด็กบางคนไม่มีเสื้อกันหนาว ไม่มีรองเท้าใส่เลยนะอ้าย..." เธอเล่าให้ฟังในวันนั้น4.มาถึงตรงนี้...ผมรับปากว่า จะช่วยเป็นธุระประชาสัมพันธ์เชิญชวนมิ่งมิตรผู้มีจิตเมตตา ช่วยบริจาคผ้าห่ม เสื้อกันหนาว หมวกไหมพรม...รวมทั้งทุนสำหรับเด็กดอยและพี่น้องชนเผ่าปะหล่อง ซึ่งทุกท่านสามารถส่งเป็นพัสดุทางไปรษณีย์ เพื่อง่ายต่อการรับได้ที่ องอาจ เดชาเลขที่ 159/34 ถนนเจ็ดยอด ซอย 7ต.ช้างเผือก อ.เมือง จ.เชียงใหม่50300หรือจะส่งไปให้พี่น้องชนเผ่าปะหล่อง (ดาระอั้ง) โดยตรงที่มูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ ตู้ ปณ.53 อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ 50110 และเมื่อรวบรวมได้มากพอแล้ว ก็จะได้นำขนส่งไปยังพื้นที่ต่อไปครับ
Hit & Run
  วิทยากร  บุญเรืองกลุ่ม แบ๊คซ้าย' มิถุนาฯ   23 ธันวาคม 2550...เป็นอีกวาระหนึ่งที่เราจะต้องออกไปช่วยเพื่อนรัก ‘นักการเมือง' (กลุ่มคนที่ถูกประณามมากที่สุดในสังคมไทยปัจจุบัน)สื่อต่างๆ ชอบที่จะกระแซะแซวว่า นักการเมืองมักจะมืออ่อนนอบน้อมกราบไหว้ประชาชนเสมอในช่วงเลือกตั้ง ซึ่งมันก็ถูก แต่ถ้ามองในมุมกลับกัน คนอีกบางจำพวกนั้น ‘ไม่มี' ช่วงเวลาพิเศษไหนเลยที่จะลงมาไหว้กราบกรานขอคะแนนจากประชาชน หนำซ้ำพวกเรากลับต้องกราบกรานไหว้เขาอยู่เป็นกิจวัตรใครล่ะน่าเกลียดกว่ากัน? สำหรับวาระสำคัญก่อนการเลือกตั้ง การรณรงค์ไม่ให้มีการซื้อสิทธิ์ขายเสียง ทำนองที่ว่า ‘นักการเมืองซื้อเสียงเราไม่กี่ร้อย แล้วก็ไปโกงบ้านเมืองเป็นแสนเท่าล้านเท่า' ยังคงเป็นการรณรงค์ที่ตื้นเขินเพราะถ้าลองมองในเชิงโครงสร้างแบบนั้น ‘นักการเมืองซื้อเสียง' กับ ‘ชาวบ้านที่ขายเสียง' ดูเหมือนจะกลายเป็นแพะอยู่แค่สองจำพวกนี้เท่านั้น แต่แท้จริงแล้ว การทุจริตนั้นไม่ได้มีตัวจักรสำคัญแค่ชาวบ้านและนักการเมือง เพราะในกลไกนั้นจะต้องประกอบไปด้วย ข้าราชการและผู้มีอิทธิพลในสังคมไทยที่ไม่ต้องลงเลือกตั้งเป็นตัวสำคัญอีกกลุ่มหนึ่ง แต่คนกลุ่มหลังกลับไม่ค่อยมีใครกล่าวถึง ทั้งที่คนเหล่านี้ต่างหากที่เป็นกลุ่ม ‘คนสำคัญ' จริงๆ สำหรับการทำให้ประเทศชาติและประชาธิปไตยเสียหายการตรวจสอบนักการเมืองและการเข้าไปมีผลประโยชน์ในโครงการต่างๆ นั้น ข้าราชการ องค์กรอิสระ และผู้มีอิทธิพลในสังคม มีบทบาทมากเสียกว่าชาวบ้านที่ขายเสียง ซึ่งเรารู้ๆ กันอยู่ว่าคนเหล่านี้มีล็อบบี้ยิสต์เป็นของตนเอง ไม่ต้องออกหน้าออกตามาให้เสียภาพพจน์แบบนักการเมืองผู้มีอิทธิพลในสังคมมักจะฉาบตนเองด้วย ‘จริยธรรมอันเลิศหรู' แต่เนื้อแท้แล้วพวกเขาเป็นกาฝากของสังคม ทำตัวเป็น ‘ขอทานกิตติมศักดิ์' ลองไปดูกันเถิดท่านทั้งหลาย บอร์ดรัฐวิสาหกิจต่างๆ หรือที่ปรึกษาบรรษัทยักษ์ใหญ่ หรือโครงการการกุศลต่างๆ มีขอทานกิตติมศักดิ์พวกนี้คอยเกาะกินมากน้อยแค่ไหนแต่คนกลุ่มเหล่านี้กลับมาด่าการซื้อสิทธิ์ขายเสียงของนักการเมืองและชาวบ้านอยู่เนืองๆ ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้ดีโด่ดีเด่อะไรไปมากนัก หนำซ้ำยังน่าเกลียดถึงกึ๋นกว่า ด้วยการพยายามทำตัวให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ดุจดังเทวดามาจุตินักการเมืองเป็นกลุ่มคนสปีชี่ส์ที่บริหารความ ‘น่ารักน่าชัง' ของตนเองได้อย่างลงตัว...เพราะมีทั้ง ปากห้อย, ปากหมา, ตัวเตี้ย, เป็นปลาไหล, เป็นงูเห่า, จ่ายเงินร้อยยี่สิบ, โกงกินสารพัด ฯลฯ ในทางกลับกัน พวกเขายังพอจะรู้จักช่วยเหลือปัญหาเฉพาะหน้าให้กับชาวบ้าน เอาถนน เอาโครงการต่างๆ เข้าสู่ท้องถิ่น ช่วยเหลืองานบุญงานบาปต่างๆ นานา เพื่อหาคะแนนนิยมให้ตัวเอง --- พวกเขามีบุคลิกที่เป็น ‘คนจริงๆ'บนโลกใบที่บูดๆ เบี้ยวๆ บ้าๆ ซึ่งเป็นโลกแห่งความเป็นจริงใบนี้ในระบอบประชาธิปไตยต้องการคนจริงๆ ที่รู้จัก ‘โหด เลว ดี' มากกว่า ‘เทวดา' ที่รอแต่เครื่องเซ่นสรวงฟรีๆ โดยไม่ต้องเสียเงินซื้อเสียงหลังรัฐประหารที่ผ่านมา เทวดาเหล่านี้กลับได้ใจผยองลำพอง ออกมาเพ่นพ่านตามบอร์ดรัฐวิสาหกิจ ตามองค์กรเฉพาะกิจต่างๆ ที่อ้างว่าจะมาสะสางและล้างความสกปรกของประเทศ รวมถึงชอบเหลือเกินที่จะมาอวดภูมิความรู้และชูจริยธรรมของตนเอง ชี้นิ้วชี้นำสังคมว่าจงโปรดฟังพวกเขา ช่วยกันกำจัดนักการเมืองที่เลวร้ายและโปรดจงทำตัวให้ใสสะอาดเปรียบดังเทวดาอย่างเขาจะอย่างไรก็แล้วแต่ นักการเมืองจะยังคงเป็นที่พึ่งและคนที่เราเลือกได้เสมอ ในโลกแห่งความเป็นจริง โดยเฉพาะในสังคมที่เป็นประชาธิปไตย ถึงแม้ว่าพวกเขาจะถูกตราหน้าว่าชั่วช้าเพียงใด แต่พวกเขาก็เปรียบเสมือนคนเลวที่เราๆ ท่านๆ เลือกได้ และมักจะมีอะไรติดไม้ติดมือมาฝากพวกเราเสมอไม่เหมือนคนดีมีจริยธรรมและเทวดาต่างๆ ที่เรามักจะเลือกไม่ได้ เผลอๆ ก็โผล่พรวดมาทำลายระบบประชาธิปไตยพร้อมด้วยรถถังถ้าพวกคุณหมั่นไส้เหล่าเทวดาเหล่านี้...ไปเถิด คนเดินดินกินข้าวแกงทั้งหลาย...ถ้าคุณรับเงินจากนักการเมืองและจะไปลงคะแนนให้เขาชนะการเลือกตั้ง จงไปเลือกคนที่คุณคิดว่าคุณสามารถแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ได้มากที่สุด! 
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ภาพจาก http://gotoknow.org/file/i_am_mana/DSC04644.1.jpg คุณที่รักผมลงมือเขียนต้นฉบับนี้ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2550 ซึ่งนับจากวันนี้ไปอีก 3-4 วันก็จะถึงวันเลือกตั้ง แต่จนป่านนี้ ผมซึ่งเป็นประชาชนคนหนึ่งของประเทศที่มีสิทธิไปลงคะแนนเสียงให้กับผู้สมัคร ส.ส.ในเขต 2 อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ ยังนึกไม่ออกเลยว่าควรจะใช้สิทธิอันชอบธรรมนี้ไปเลือกใครหรือพรรคใด หรือว่า...ควรจะโนโหวต คือไม่เลือกใครเลยเหตุที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจากเป็นเพราะว่า ผมเป็นคนที่หน่อมแน้มในเรื่องการเมืองจริง ๆ  จึงไม่สามารถวิเคราะห์และตัดสินด้วยตัวเองได้อย่างเชื่อมั่น ว่าใครหรือพรรคการเมืองใดเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด  หรือว่าควรจะ...โนโหวต นั่นเอง นี่เป็นเรื่องจริง ไม่ได้แกล้งเขียนเพื่อประชดประชันหรือแดกดันใคร ถึงแม้ตอนแรก ผมจะแอบมีใจเอนเอียงไปทางพรรคที่ลุกขึ้นมาคัดค้าน พ.ร.บ. 8 ฉบับที่สนช.ชุดรัฐบาลทหารร่างออกมา หมายจะทิ้งทวนและเผยธาตุแท้ก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วย ถึงแม้ตัวผมจะไม่ค่อยศรัทธาในตัวบุคคลในพรรคนี้  แต่พอผมไปเปิดเผยความในใจเรื่องนี้ของผม ให้ผู้รู้ลึกซึ้งทางการเมืองที่น่าเชื่อถือทั้งในอดีตและปัจจุบันฟัง ท่านก็เอะอะโวยวายเอากับผมว่า“เฮ้ย ไม่ได้ ไม่ได้ คุณจะมาคิดอะไรหน่อมแน้มอย่างนี้ไม่ได้ นั่นมันฉวยโอกาส ออกมาพูดเอาความดีเข้าตัว ไม่ใช่นโยบายอะไร”จากนั้นท่านก็ยกเหตุผลต่างๆ นานา ประกอบกับหลักวิชาและประสบการณ์ ที่ทำให้คนหน่อมแน้มอย่างผม เถียงไม่ได้สักแอะ (เพราะไม่มีความรู้ทางการเมืองพอที่จะเท่าทันเล่ห์เหลี่ยมทางการเมืองที่เต็มไปด้วยความสลับซับซ้อน) ก่อนจะสรุปให้ผมฟังว่า มันเป็นเพียงคำพูดสวยหรูที่เขาพูดออกมาหลอกลวงชาวบ้าน แต่พอถึงเวลาจริง ๆ ถ้าพวกเขาได้เข้าสภา พวกเขาไม่ทำกันหรอก โดยเฉพาะ เรื่องของชาวบ้าน พวกเขาก็แค่หลอกเอาคะแนนเสียงจากพวกเราเท่านั้นเอง ผมฟังแล้วรู้สึกตกใจ จึงย้อนถามท่านว่า พวกเขาทำอย่างนี้ได้อย่างไร ท่านตอบว่า ทำไมจะทำไม่ได้ เพราะจากประวัติศาสตร์ทางสังคมที่ผ่านมา ยิ่งกว่านี้พวกเขายังทำกันได้ จากนั้นท่านก็ยกตัวอย่างการหลอกลวงประชาชน และการแปรพักตร์กลับไปกลับมา เพราะอำนาจผลประโยชน์ของนักการเมืองในพรรคนี้ให้ผมฟัง ผมฟังแล้วได้แต่นึกสิ้นหวังและเศร้าใจต่อมาผมก็กลับมาคิดและตัดสินใจใหม่อีกครั้งหนึ่ง นั่นคือ ตัดสินใจว่าจะ โนโหวต กากบาทไม่เลือกใครหรือพรรคใดทั้งสิ้น  ผมคิดว่าผมตัดสินใจได้ถูก ผมจึงไปขอความเห็นกับท่านผู้รู้ท่านนี้อีก แต่ท่านกลับเอะอะโวยวายเอากับผมอีกว่า“ไม่ได้ ไม่ได้ คุณจะทำหน่อมแหน้มแบบนี้อีกไม่ได้ เพราะคุณจะทำให้พรรคทางเลือกที่ดีที่สุดในขณะนี้คะแนนเสียงตกและย่ำแย่ลง ทำให้พรรคตรงกันข้ามที่เราไม่ต้องการได้คะแนนเสียงมากกว่าได้”จากนั้นท่านก็พูดถึงผลดีในการเลือกพรรคที่ท่านถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด (และผมควรจะเห็นด้วย) ซึ่งเป็นพรรคใหญ่ ที่เป็นคู่ปรับกับพรรคทางการเมืองที่ผมมีใจเอนเอียงในตอนแรก ซึ่งเป็นพรรคใหญ่เหมือนกัน ด้วยเหตุผลที่ทำให้คนหน่อมแหน้มทางการเมืองอย่างผมเถียงไม่ได้อีกเหมือนกัน แต่ถึงอย่างไร ผมก็ไม่ชอบพรรคนี้เท่าไหร่นัก เพราะดูเหมือนจะมีชื่อเสียงด้านดีแต่พูดมานานแล้วส่วนพรรคเล็กพรรคน้อยอื่น ๆ ผมคงไม่จำเป็นต้องพูดถึง เพราะไม่มีพรรคใดอยู่ในสายตาของผม เพราะผมมองเห็นว่า ถ้าหากพวกเขาถูกเลือกเข้าไปในสภา ในที่สุดเขาก็จะถูกพรรคใหญ่ในสภา บีบและดูดกลืนเข้าไปอยู่ใต้อำนาจ และไม่อาจชี้นำอะไรได้สรุปแล้วการเลือกตั้งครั้งนี้ถึงแม้จะมีคนที่น่าเชื่อถือมาชี้นำ ผมก็ยังติดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรผมก็จะไปใช้สิทธิ์เมื่อถึงวันเลือกตั้ง และหวังเอาไว้ว่าในนาทีสุดท้าย ผมคงจะตัดสินใจได้ เพื่อที่รัฐบาลทหารที่น่าเบื่อชุดนี้...จะได้ออกไปให้พ้น ๆ เสียที และไม่ว่าใครจะได้เป็นรัฐบาลชุดต่อไป ไม่ว่าจะย่ำแย่ขนาดไหน ยังย่อมดีกว่าที่เป็นอยู่นี้ (ถ้าหากการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นจริง) 20 ธันวาคม 2550กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่ 
เงาศิลป์
ฟืนท่อนใหญ่ถูกซุนเพิ่มเข้าไปอีกท่อน มันเป็นไม้ส้มเสี้ยวที่ถูกโค่นล้มลงเพราะขวางทางรถยนต์คันใหญ่ คนตัดบอกว่าไม้ชนิดนี้ยากที่จะแปรรูปเพราะเนื้อไม้บิดเป็นเกลียว ฉันจึงขอให้เขาตัดเป็นท่อนสั้นๆ เพื่อจะใช้ประโยชน์ตามแต่จะคิดได้ แต่พอลมหนาวทายทักแข็งขันมากขึ้น ฉันต้องตัดใจตัวเองจนเลือดซิบ ขณะที่ก้มลงลากมันมาใส่ไฟอย่างยากเย็น เพราะทั้งหนักและเสียดาย และรู้สึกผิดต่อตัวเองหมาน้อยสองตัวต้องการความอบอุ่นตลอดคืน ฉันเองก็ต้องการ แม้จะมีผ้าห่มแต่ก็ไม่เพียงพอที่จะกันหนาวได้ การใช้ฟืนดุ้นเล็กๆ คือภาระที่ต้องลุกขึ้นมาใส่ไฟเกือบตลอดเวลา ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันคงไม่มีเรี่ยวแรงเหลือไว้ทำงานในไร่ยามกลางวันอีกเป็นแน่ นั่นคือเหตุผลที่ต้องตัดใจ และให้อภัยตัวเอง แหงนหน้าดูดวงดาวที่พราวฟ้า ใครนะ ที่ช่างบอกว่าการดูดวงดาวเป็นความสุข อพิโถ...ฉันไม่มีความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น ความสุขของฉันสำหรับที่นี่คือการนั่งลงคุยกับเจ้าหมาน้อย ตอแยหยอกล้อกับมัน และการได้นอนหลับอย่างอบอุ่นสบายๆ ในคืนหนาวนั่นต่างหากเสียงนกหากินกลางคืนตะเบ็งร้องดังแก๊บ ๆ ๆ มาจากแนวต้นกุงสูงลิ่บลิ่วที่หน้ากระท่อม เสียงที่ใกล้ตัว สิ่งที่ใกล้ตาคือสัญญาณทั้งหลายที่ต้องนิ่งฟัง คืนไหนไม่มีเสียงนก ไม่มีแม้กระทั่งเสียงแมลง เป็นคืนที่ชวนหนาวในอกเป็นที่สุด  บางคืน..เสียงทั้งหลายที่ระเบ็งเซ็งแซ่อยู่รอบๆ กลับหยุดกึกเหมือนจังหวะดนตรีที่ถูกกำหนดให้เงียบเสียงโดยฉับพลัน รอเวลาโหมประโคมเครื่องอย่างครบครันอีกครั้ง ในนาทีต่อมา แต่ทว่าที่นี่กลับไม่ใช่เช่นนั้น มันคือความเงียบที่ยาวนาน เงียบจนวังเวง  จนขนหัวลุก ไม่มีที่ใดๆ ที่จะเงียบได้เท่านี้อีกแล้วบนโลกนี้ ฉันต้องค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ เพราะกลัวว่าเสียงหายใจจะดังเกินไปจนความเงียบนั้นได้ยิน และมันอาจค้นหาฉันจนเจอ แม้ฉันจะนอนอยู่ในมุ้งในห้องหับที่มิดชิดก็ตามที่นี่ คือโนนหมู่บ้านเก่า ที่คนละแวกนี้เรียกว่า “โนนบ้านคึม” มีเรื่องเล่ามากมายที่หลายคนไม่อยากจะพูดถึง แต่ฉันก็ยังพอจะรู้บ้างว่า สาเหตุที่ต้องกลายเป็นบ้านร้างเพราะว่า เมื่อ 40 ปี ก่อนนั้น มีการปล้นและฆ่าตายทั้งบ้าน ทางราชการจึงมาขอร้องให้ย้ายไปอยู่ริมถนนใหญ่ เหลือพื้นที่ทำกินเอาไว้ ที่พวกเขาแวะเวียนมาเมื่อถึงฤดูเพาะปลูกเท่านั้น การที่ฉันมาลงหลักปักฐานสร้างบ้านหลังน้อยอยู่ในนี้ จึงเป็นเรื่องที่น่าตกใจสำหรับใครๆ ที่รับรู้ โดยเฉพาะแม่ค้าในตลาดตามหมู่บ้านใกล้เคียง ที่มักจะต้องถามว่า “มาจากไหน” พอฉันตอบว่า “มาจากโนนบ้านคึม” ทุกคนจะตกใจ ร้องว่า “โอ้ อยู่ได้ยังไงน่ะ” ทีแรกฉันไม่รู้ว่า พวกเขาหมายความว่าอย่างไร แต่เมื่ออยู่นานไป ฉันเริ่มได้คำตอบ จนบางครั้งฉันต้องถามตัวเองว่า “คิดถูกหรือผิดกันแน่ที่มาอยู่ที่นี่” คำตอบที่ให้กับตัวเองคือ “ไม่ผิดหรอก เพราะถึงจะไม่ใช่ที่นี่ ฉันคงอยู่ที่ไหนสักแห่งที่มีสภาพไม่แตกต่างกัน” ฉันรู้จักตัวเองดี อะไรที่ง่ายดายฉันมักไม่ค่อยเลือกทำ วิญญาณนักผจญภัยตกยุคมันยังสิงฉันอยู่ คืนนี้ ลมหนาวชื่นโชยผ่านผิวเป็นระลอก สูดลึกเข้าไปในอกอย่างช้าๆ เพื่อเยียวยาความปวด...ล้า ของร่างกาย“ฉันเหนื่อย” รำพึงกับตัวเองเบาๆ อยู่ข้างใน เหนื่อยล้ากายแต่ใจแกร่งจะเป็นไรไป อีกใจตอบรับ ในเมื่อเพื่อนร่วมทุกข์ยังมีอีกเยอะแยะ โดยเฉพาะชาวไร่แถวนี้ พวกเขายังทุกข์ทั้งกายทั้งใจสาหัสกว่าฉันนักเมื่อวานนี้ น้องแดงสาวชาวไร่อ้อย แปลงที่อยู่ทางทิศใต้ของไร่ฉัน ขาดทุนไปแล้วล่ะ เพราะเธอต้องเช่าที่ดิน ต้องจ้างรถไถใหญ่มาไถที่ ต้องจ้างคนดายหญ้า ต้องจ้างคนตัดอ้อย ต้องจ้างคนขึ้นอ้อย (เอาอ้อยขึ้นรถบรรทุก) ต้องจ้างรถบรรทุก ต้องซื้อยาฆ่าหญ้า ทุกอย่างล้วนแต่เป็นเงิน เงิน และเงินที่ต้องจ่าย ตกแล้วต้นทุนไร่ละไม่ต่ำกว่า 4,500 บาท แต่ได้ผลผลิตไร่ละ ไม่ถึง 10 ตัน หรือได้เงินไร่ละไม่เกิน 6,000 บาท เรียกว่าเสียแรงเปล่า แถมยังเสียความรู้สึกที่ความฝันว่าจะได้กำเงินแสนต้องล่มสลายลงกลางแดดหนาว“ก็รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลชั่วคราว เขาก็บริหารแบบชั่วคราว ไม่ได้สนใจชาวไร่ชาวนาจริงๆ ไม่เหมือนสมัยรัฐบาลทักษิณ ราคาอ้อยได้ตั้ง 800 ถึง 900 บาท”นั่นคือข้อสังเกตของตาเก้ คนปลูกอ้อยอีกราย น้ำเสียงของเขาฟังดูแหบแห้งไร้ความหวัง เมื่อสะท้อนสภาพความเชื่อที่มีอยู่ในใจ ฉันนึกถึงใบไม้ที่ผุเปื่อย ที่ในที่สุดยังมีคุณค่าต่อแผ่นดินอีกครั้งเมื่อปลิดขั้วร่วงลงดิน เขาไม่ได้กล่าวยกย่องอดีตนายกฯคนนั้นมากไปกว่านี้ แต่ฉันเห็นเยื่อใยในน้ำเสียง ใช่สินะ...อะไรจะมัดใจคนได้มากไปกว่ารูปธรรมของผลประโยชน์ ที่พวกเขาได้รับ มุมมองของคนหาเช้ากินค่ำ คล้ายคนกำลังจะจมน้ำ แค่ขอนเล็กๆลอยมาใกล้เขาต้องคว้าเอาไว้ แม้ขอนนั้นจะเป็นเคลือบยาพิษชนิดกัดผิวอย่างรุนแรง หรือการแตะต้องอาจทำให้พิษกระจายทั่วสายน้ำ ใครเล่าจะหยุดฟังเสียงห้าม ที่ยืนตะโกนอยู่บนฝั่งแต่ไม่เคยลงมือช่วยเหลืออะไรเลย แถมยังบอกว่า “ว่ายเข้ามาซี ว่ายเข้ามา ฝั่งอยู่ทางนี้”ฝั่งน่ะรู้จัก แต่เรี่ยวแรงจวนจะหมดสิ้นแล้ว ท่านรู้บ้างไหม ฉันคิดย้อนไปไกลทั้งกระบวน ขณะที่มองภาพของตาเก้ที่ยืนนิ่ง เบื้องหลังมีเปลวไฟลุกโพลงประทุเปรี๊ยะๆ ไหม้ลามเลียใบอ้อยแห้งแผ่วงกว้างออกไปเรื่อยๆ  ยิ่งทำให้นึกถึง “เวทีสัมมนาเรื่องโลกร้อนที่เกาะบาหลี” เขาเป็นอีกคนที่ยังทนทานทำในสิ่งที่กลืนกินความหวังของตัวเองให้ร่อยหรอลงไปทุกปี โชคดีว่าเขายังมีที่ดิน มีรถแทรกเตอร์เป็นของตัวเอง ที่ได้มันมาครอบครองในสมัยที่เศรษฐกิจเฟื่องฟู ต้นทุนจึงต่ำกว่าของน้องแดงการทำไร่อ้อยของเขาไม่ต้องพูดว่าเพื่อจะร่ำรวย ขอแค่ปลดหนี้สินได้สักปีก็น่าจะเป็นบันไดไปสู่สวรรค์ ถามว่าทำไมไม่ลองปลูกพืชชนิดอื่นที่เป็นไม้ยืนต้น คำตอบคือ “ไม่มีเงินทุน” แต่ฉันรู้ว่าเบื้องหลังคำตอบยังมีเหตุผลอีกหลายอย่างที่ละเอียดอ่อน ยากที่ล้วงลึก โดยเฉพาะหนี้สินที่มีดอกเบี้ยงอกงามรวดเร็วกว่าดอกผลใดๆทำไมเขาจึงยากจน ทำไมเขาเป็นหนี้ ไม่ต้องค้นหาสาเหตุกันนักหรอก ถ้าเพียงยอมรับความจริงว่า “คนชนบทขายถูกและซื้อแพงกว่าเสมอ” แค่นี้ก็เห็นแล้วสังคมทุนนิยมไม่เคยปราณีเหยื่อของมันเลยแม้แต่คนเดียวหากเป็นนักธุรกิจเจ้าของโรงงาน เมื่อรู้ว่ากำลังขาดทุน อาจปิดโรงงาน ลอยแพคนงานให้ตกระกำลำบาก จนรัฐบาลต้องยื่นมือมาช่วย แต่ชาวสวนชาวไร่ทั้งหลาย ทำได้อย่างดีที่สุดก็แค่ลงมือทำซ้ำ ตราบใดที่ยังมีที่ดิน มีแหล่งกู้เงินให้กู้มาลงทุนเพิ่ม จนในที่สุด ต้องขายที่ดินเพื่อใช้หนี้ แล้วเร่ร่อนไปเป็นแรงงานรับจ้าง ตามวิถีทางแห่งโลกาวิบัติในเวลานี้เราลุกขึ้นมาพูดเรื่องสภาวะโลกร้อน ก่อนที่จะไปถึงตรงนั้นได้ โปรดจริงใจในการช่วยกันดับไฟ “ในหัวอกหัวใจ” ของชาวไร่ชาวนา กันเสียก่อนเถิดพี่น้องเอ๋ย 
เมธัส บัวชุม
ผมรู้สึกประหลาดใจ คาดไม่ถึง เหลือเชื่อ รับไม่ได้ ต่อบทความของศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันจันทร์ ที่ 25 พฤศจิกายน 2550  ผมอ่านอย่างตั้งใจทีคำ ทีละประโยค  เมื่ออ่านจบแล้ว ได้แต่ส่ายหัว บ่นงึมงัมอยู่คนเดียวว่านิธิ เอียวศรีวงศ์ได้เขียนอย่างที่เขียนไปแล้วได้อย่างไร เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า นิธิ  เอียวศรีวงศ์ ในวัยชรา ได้ทำลายตัวเองด้วยการเขียนบทความอันน่าสะอิดสะเอียนเพื่อชื่นชม คุณอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อย่างหน้ามืดตามัว เขาเขียนว่า“คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะแสดงความเหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป (ภายใต้สภาวการณ์ดังที่เป็นอยู่ในขณะนี้ คือภายใต้ระบบราชการซึ่งมีกองทัพเป็นผู้นำ) มาอย่างน้อยสามเรื่องแล้ว คุณอภิสิทธิ์เสนอให้ยกเลิกกฎอัยการศึกเสีย เมื่อจะจัดให้มีการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรม,คุณอภิสิทธิ์คัดค้านร่าง พ.ร.บ.ความมั่นคงและสัญญาว่าจะแก้ไขเมื่อได้เป็นรัฐบาล และไม่กี่วันมานี้ คุณอภิสิทธิ์แสดงความไม่เห็นด้วยกับ กกต.ที่แนะนำมิให้นักการเมืองใช้ 111 อดีตผู้บริหาร ทรท.เป็นสื่อในการหาเสียง”นิธิ  เอียวศรีวงศ์ เชื่อจริงๆ หรือว่า ทั้งสามเรื่องข้างต้นอันเป็นการแสดงถึง ความสง่างามและความเหมาะสมกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นิธิ  เอียวศรีวงศ์ไม่ถามตัวเองเลยหรือว่าทั้งสามเรื่องข้างต้นนั้นเป็น “ความตั้งใจ” ของอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ จริง ๆ  หรือเป็นแค่โวหารประชาธิปไตยเพื่อเรียกคะแนนชื่นชมเท่านั้น ?  นอกจากให้สัมภาษณ์ไปตามเรื่องตามราวตามแผนการตลาดแล้ว ที่ผ่าน ๆ มา นิธิ  เอียวศรีวงศ์ เคยเห็นคนอย่างอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ เคลื่อนไหวเรียกร้องอะไรเพื่อประชาธิปไตยมาก่อนบ้างหรือไม่ ? นิธิ  เอียวศรีวงศ์ ลืมไปแล้วว่าพรรคประชาธิปัตย์เคยสร้างผลงานอะไรไว้หรือไม่เคยสร้างผลงานอะไรไว้บ้างในอดีต นิธิ เอียวศรีวงศ์ จำไม่ได้หรือว่า คนอย่างอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ นั้นเคยให้การสนับสนุนการยึดอำนาจของทหารจากรัฐบาลที่ผ่านการเลือกตั้ง เป็นผู้สนับสนุนมาตรา 7  ที่เปิดโอกาสให้คนนอกเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี และสนับสนุนรัฐธรรมนูญปี 2550 อันเป็นรัฐธรรมนูญบัดซบที่นิธิ  เอียวศรีวงศ์ ได้คัดค้านอย่างแข็งขัน!อย่างไม่ปิดบัง นิธิ เอียวศรีวงศ์ เขียนบทความชิ้นนี้ออกมาก่อนที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 23 ธันวาคม 2550  เขาแสดงจุดยืนของเขาออกมาแล้วว่าต้องการให้ใครเป็นนายกรัฐมนตรีหรือพรรคใดควรจะเป็นรัฐบาล ไม่ต้องสงสัยเลยว่าบทความชิ้นนี้ถูกเขียนด้วยรสนิยมทางการเมืองที่แย่เอามาก ๆ และทำลายหลักการอย่างร้ายแรงไม่ต่างอะไรกับที่พรรคประชาธิปัตย์และคมช.กระทำต่อประชาธิปไตยอันที่จริงการแสดงจุดยืนหรือรสนิยมทางการเมืองของตัวเองออกมาเป็นเรื่องธรรมดา ถือเป็นเรื่องที่ดีด้วยซ้ำ แต่การเชียร์อย่างมืดบอดแบบนี้ของนิธิ  เอียวศรีวงศ์ นับเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจกระทั่งสมควรประณาม และเมื่อคิดว่านิธิ  เอียวศรีวงศ์เป็นนักวิชาการอันดับต้น  ๆ ของประเทศ ที่พูดหรือเขียนมีคนฟังคนอ่านและคนคล้อยตาม เป็นนักวิชาการที่ถูกคาดหวังว่ามีความเป็นกลางหรืออย่างน้อยก็ยึดควรหลักการ ไม่โอนเอียงไปฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่ง แต่แล้วนิธิ  เอียวศรีวงศ์ ก็แสดงตัวตนออกมาไม่ต่างอะไรจากนักการเมืองมากไปกว่าการแสดงจุดยืนแบบปัจเจกชนของนิธิ  เอียวศรีวงศ์ การเขียนบทความผ่านสื่อ คือการโน้มน้าวชักจูงใจ(อาจเรียกได้ว่าหลอก)คนอ่าน ตลอดจนศิษยานุศิษย์ของเขาให้คล้อยตามเห็นดีเห็นงามไปกับเขาว่าคุณอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ มีความเหมาะสมกว่าใครอื่นในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนิธิ  เอียวศรีวงศ์ ไม่ได้คำนึงถึงเรื่องหิริโอตตัปปะเลยสักนิดเดียว ดังนั้นเขาจึงดั้นด้นเขียนต่อไปว่า“นายกรัฐมนตรีคนใหม่ต้องกล้าเผชิญกับแรงกดดันจากกองทัพ รวมทั้งแรงกดดันจากองค์กรอิสระอีกมากที่คณะรัฐประหารตั้งขึ้น อย่างอาจหาญและมีศักดิ์ศรีด้วย ดังที่คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้แสดงให้เห็นอย่างนุ่มนวล แต่สง่างามในครั้งนี้ความนุ่มนวลก็มีความสำคัญ” คำกล่าวข้างต้นอาจทำให้ผู้อ่านสำรอกได้เลยทีเดียว เพราะนิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้เสกคาถาให้คุณอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ กลายเป็นบุคคลที่ “อาจหาญและมีศักดิ์ศรี” กับ “นุ่มนวลแต่สง่างาม” แบบไม่ต้องคิดมากไปแล้วในพริบตา  อันที่จริงหากจะมองหาความดีของใครสักคนแล้วนำมายกย่องเทิดทูนนั้น คนทุกคนสามารถที่จะถูกยกย่องได้หมด  เพราะคนทุกคนย่อมมีทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดีในชีวิตปะปนกันไป ไม่เว้นแม้แต่โจร ไม่เว้นแม้แต่คุณทักษิณ  ชินวัตร และคุณอภิทธิ์  เวชชาชีวะ การที่นิธิ  เอียวศรีวงศ์มองเห็นแต่ความดีของอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ  และมองเห็นแต่ความไม่ดีของคุณทักษิณ  ชินวัตร นั้นหมายความว่าอย่างไร?มันคงไม่ได้หมายความว่าอย่างไร นอกจากหมายความว่านิธิ  เอียวศรีวงศ์ ชอบอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะและต้องการให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลก็เท่านั้นเอง  แม้ว่าจะต้องเขียนบทความเชียร์ที่เต็มไปด้วยอคติอย่างน่าเกลียด เขาก็ยอมทำในท้ายยบทความ นิธิ  เอียวศรีวงศ์ ชื่นชมคุณ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และแขวะคู่แข่งอย่างคุณสมัคร สุนทรเวชไปพร้อมกันว่า“แม้ว่าการปลดปล่อยการเมืองไทยออกจากระบบราชการ และกองทัพเป็นภารกิจเร่งด่วนและสำคัญสุดยอด แต่เราควรหลีกเลี่ยงการปะทะนองเลือดกับกองทัพอย่างที่เคยเกิดมาแล้วในเหตุการณ์ 14 ตุลาและพฤษภาทมิฬ ทั้งสองครั้งที่ผ่านมาล้วนอยู่ภายใต้นายกรัฐมนตรีที่เป็นคนของกองทัพเอง ซึ่งทำให้หลีกเลี่ยงการปะทะได้ยากขึ้น ความนุ่มนวลแต่แกร่งกล้าของคุณอภิสิทธิ์อาจช่วยให้คุณอภิสิทธิ์สามารถนำทหารกลับกรมกองโดยสงบ และสร้างระบบราชการให้เป็นเครื่องมือที่ซื่อสัตย์และมีประสิทธิภาพ เพื่อสนองนโยบายที่ประชาชนสร้างขึ้นผ่านกระบวนการทางการเมืองได้ และนี่เป็นข้อได้เปรียบของคุณอภิสิทธิ์เหนือคู่แข่งที่แสดงอาการแข็งกร้าวหยาบคาย เพราะโอกาสที่เราจะดันทหารกลับกรมกองโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อนั้นมีอยู่”ถ้าคุณยังคิดว่านักวิชาการเป็นบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ และน่าเชื่อถือศรัทธา อ่านบทความของนิธิ  เอียวศรีวงศ์ ชิ้นนี้แล้วคุณจะรู้ว่าความคิด ความเชื่อในเรื่องนี้นั้นไม่ถูกต้องเอาเสียเลย ตรงกันข้ามทีเดียว นักวิชาการเป็นกลุ่มที่สมควรประณามเป็นอันดับต้น ๆ ในบางกรณีนั้นสมควรถูกประณามมากกว่านักการเมืองเสียอีก.