Skip to main content

จากที่ข้อเขียนเรื่องเพศวิถีมีชีวิตทั้งหมดที่ได้กล่าวมานั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การวางความคิด เรื่องการเปิดใจคุยเรื่องเพศของตนเอง เรื่องความหลากหลายในรักและความสัมพันธ์ ความรักต่างเพศนิยม เรื่องกระแสสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นความพยายามที่จะมาสรุปในตอนท้ายของบทความนี้ว่า หากเราจะคุยเรื่องเพศวิถีจากมุมมองภายในจากชีวิตของเรานั้น เพื่อสร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากภายในตัวเอง อะไรที่เป็นความท้าทายที่จะนำไปสู่การจุดประกายให้แต่ละคนได้กลับมาสำรวจ ตั้งคำถาม และสร้างการเรียนรู้เรื่องต่างๆ เหล่านี้ได้โดยอาศัยทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกของแต่ละคน

ประการที่แรก คือ ความคิด ความเชื่อ ตรรกนิยม ที่พ่วงเอาความถูกผิดมากำหนด จัดระบบของสังคมที่มองว่าแบบนี้ถูก หรือผิด โดยเรามักจะได้ยินสิ่งที่เรียกว่า “ศีลธรรม” หรือ “จริยธรรม” ที่มักจะพ่วงมาด้วย “ที่ถูกต้อง” และ “ดีงาม” “ชอบธรรม” หรือ “ไม่ชอบธรรม” ฉะนั้น ความคิด ความเชื่อเหล่านี้เป็นผลพวงของวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่และรักต่างเพศนิยม ตลอดจนวัฒนธรรมอำนาจครอบงำ ที่เป็นตัวบดบังความจริงแท้ภายใน ความรู้สึกหรือมุมต่างๆ ภายในตัวคน ความคิดที่นำไปสู่การขัดเกลาคนในสังคม ใช้ความถูกต้อง ดีงามเป็นตัวกำหนด บทบาท สถานะทางเพศ รสนิยมทางเพศ และชีวิตทางเพศของคน


ทำให้เกิดบรรยากาศขัดขืนอย่างเงียบๆ หรือ ดื้อเงียบ เป็นสังคมที่เรามักคุ้นเคยในแนว “ปากว่าตาขยิบ” ซึ่งบรรยากาศที่ว่ามีการกดทับ ไม่เปิดเผย ในเรื่องเพศอย่างตรงไปตรงมานี้เอง ทำให้คนไม่มีพื้นที่ทางสังคมของตน และไม่สามารถที่จะแสดงความรู้สึกต่างๆ ของตัวเองออกมาได้อย่างแท้จริง กลายเป็นว่าต้องหาทางอื่นปลดปล่อยและนำไปสู่การระบายออกที่ใช้ความรุนแรงและสถานะอำนาจเหนือกว่า ต่ำกว่า ซึ่งถือว่ามีมากในสังคมปัจจุบัน ฉะนั้นเรื่องที่ควรตั้งคำถามคือ ความคิดที่ผูกมัดว่าสิ่งนี้ผิด หรือ ถูกต้องดีงามนั้น จะนำไปสู่ชีวิตทางเพศที่ปลอดภัยและเป็นสุขได้จริงหรือ


และกระนั้นแล้วความรู้สึกจริงแท้ของคนจำเป็นหรือไม่ที่ควรเป็นเรื่องปกติที่เราควรสื่อสารอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา เพื่อให้เราได้กลับมาทำความเข้าใจตัวเอง เข้าใจเงื่อนไข ปมของชีวิตตัวเอง จนนำไปเพื่อสร้างความเข้าใจระหว่างกันและกัน และรื้อถอนความเชื่อที่เป็นอุปสรรคต่อการเข้าใจกันของคนในสังคม


ประการที่สอง
ด้วยความสงสัยและอยากจะตั้งคำถามต่อสังคมในเรื่องความคิด ความเชื่อในเรื่องเพศ ดังนี้ หากผู้กำหนดกติกาต่างๆ ในสังคมนี้มีพื้นฐานความเชื่อที่ว่าอยู่ในกรอบแบบ “ชายเป็นใหญ่” ซึ่งก็ล้วนแล้วแต่มีมาตรฐานทางเพศที่มีการตัดสินผิดถูกตั้งแต่ชายควรเป็นอย่างไร หญิงควรเป็นอย่างไร หรือมากกว่านั้นก็คือ ชาย หรือหญิงควรแสดงออกทางเพศอย่างไร


สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งจนเป็นเรื่องยากที่จะรื้อถอนแนวคิด และความเชื่อเหล่านี้ได้จากสังคมไทย เพราะความคิดความเชื่อในเรื่องเพศแบบนี้ ได้กลายเป็นวิถีชีวิตปกติของคนในสังคมนี้ไปเสียแล้ว และแน่นอนว่ามันย่อมนำมาสู่สถานะทางเพศที่ไม่เสมอภาคและเท่าเทียม ฉะนั้นแล้ว สิ่งที่ท้าทายคือการรื้อถอนหรือปรับเปลี่ยนระบบสังคมแบบ “ชายเป็นใหญ่” จะทำได้อย่างไร ตัวเราเองจะไม่ผลิตซ้ำในแนวความคิดความเชื่อนี้ได้อย่างไร


ซึ่งแน่นอนว่าเรื่อง “ชายเป็นใหญ่” นี้ ถูกหล่อหลอมขัดเกลาผ่านระบบโครงสร้างทางสังคมต่างๆ จากสถาบันครอบครัว โรงเรียน การศึกษา สาธารณสุข วัฒนธรรม ศาสนา กฎหมาย ซึ่งต้องเปลี่ยนทุกสถาบันให้มีแนวคิดเรื่องเพศเชิงบวก เคารพความหลากหลายทางเพศ รื้อถอนแนวคิดสังคมแบบ “ชายเป็นใหญ่” และสถาบันที่สำคัญที่ควรเริ่มในการเปลี่ยนแปลงก่อน คือ “สถาบันจิตใจภายใน” ของพวกเราทุกๆ คน


ประการที่สาม นอกเหนือจากวัฒนธรรม ความเป็นชายเป็นใหญ่ ความเป็นเพศ ใดๆ ก็ตามแล้ว ในการทำงานกับเด็กและเยาวชน หรือแม้แต่คนในสังคม เรามักเรียกคนที่ไม่ได้อยู่ในศูนย์กลางแห่งโอกาสและสถานะที่เหนือกว่าในทางเพศว่า “คนชายขอบในทางเพศ” คือ คนที่ไม่มีโอกาสในการเรียนรู้เรื่องเพศ คนที่ไม่มีโอกาสในการแสดงออกซึ่งสิทธิทางเพศ คนที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการทางเพศที่มิตรกับตนเอง เนื่องเพราะมีอัตลักษณ์ทางเพศที่ต่างออกไปจากสังคม เช่น เป็นคนรักเพศเดียวกัน เป็นหญิงขายบริการ เป็นเด็กวัยรุ่น เป็นต้น กลุ่มคนต่างๆ เหล่านี้อาจเป็นใครก็ได้


ทว่าสิ่งที่สำคัญน่าจะอยู่ที่คนในแต่ละระดับไม่ว่าจะอยู่ศูนย์กลาง หรือ ชายขอบ ล้วนแล้วแต่สร้างอำนาจของตนเองขึ้นมา อำนาจที่ว่านี้มันมีแหล่งที่มาอยู่หลายๆ ที่ในตัวบุคคลหนึ่งคน เช่น เพศ อาชีพ ฐานะทางเศรษฐกิจ เชื้อชาติ ศาสนา บทบาททางเพศ ที่อยู่ภายใต้สังคมแบบบริโภคนิยม ทั้งนี้การใช้อำนาจเหนือกว่าคือการที่คนๆ หนึ่งทำอะไรให้คนอีกคนหนึ่ง หรือกลุ่มหนึ่ง โดยที่เขารู้สึกอึดอัด ตึงเครียด ไม่ปลอดภัย ถูกทำร้าย หรือด้อยกว่า ผมจึงมองว่าเราจะทำให้อย่างไรเพื่อฟื้นฟูให้เกิดอำนาจภายในของแต่ละคน แต่ละกลุ่ม เพื่อให้เกิดบรรยากาศของการใช้อำนาจร่วมกันของคนในสังคม ไม่ว่าคนๆ นั้นจะอยู่ในเพศใด สถานะใด บทบาทหน้าที่ใด และศาสนาใด เพื่อให้เกิดความมั่นคงในความเป็นมนุษย์ เกิดความเท่าเทียมในความหลากหลายและเลือกในวิถีชีวิตทางเพศของตนได้อย่างมีศักดิ์ศรี


ประการต่อมา
คือ “วัฒนธรรมรักต่างเพศนิยม” ที่ถูกหล่อหลอมจากสังคมไว้เพียงว่าการรักต่างเพศนั้นคือสิ่งที่ถูกต้อง การรักเพศเดียวกันเป็นสิ่งที่ผิดปกติ เป็นสิ่งที่ไม่ถูกจารีต มองว่าเป็นการเป็นบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศเป็นกรรม หรือมองว่าการที่เป็นคนรักเพศเดียวเป็นอาการทางจิตที่สามารถรักษาหายได้ สิ่งเหล่านี้ เราควรตั้งคำถาม โดยเริ่มถามตัวเองในฐานะคนรักต่างเพศว่า “ทำไมเราถึงรักต่างเพศ” ใครบอกสอนเรามาว่าควรรักต่างเพศ หรือ บอกเราว่าเพศชายต้องคู่กับหญิงเท่านั้น


ทว่าอย่างไรแล้วในความเป็นจริงไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคสมัยความลื่นไหลทางเพศของผู้คนนั้นมีมาตลอดและสิ่งนี้ก็อยู่ในใจของเราแต่ละคน ที่ไม่มีเพศ ไม่มีแบ่งชาย แบ่งหญิง เพราะแท้จริงแล้วมนุษย์นั้นก็คือมนุษย์แต่การหล่อหลอมทางสังคมผ่านโครงสร้างสถาบันสังคมต่างๆ ทำให้เรามองว่ารักต่างเพศคือความถูกต้อง จนทำให้ขาดพื้นที่ของคนที่มีความหลากหลายทางเพศและนำไปสู่การรังเกียจ การเลือกปฏิบัติในกลุ่มคนรักเพศเดียวกัน ซึ่งสิ่งนี้มองว่าเราควรหมั่นตรวจสอบตัวเอง รู้จักตัวเองว่าเราเองมี “ความรู้สึกรังเกียจคนรักเพศเดียวกันอยู่บ้างไหม” แล้วเมื่อเรารู้ตัว ก็ยอมรับความจริงว่ามี และค่อยๆ รื้อออกจากตัวเอง เข้าใจที่มาของความรู้สึกนี้ และมองให้เห็นว่าเราเองก็เป็นผลผลิตหนึ่งของสังคมที่หล่อหลอมเราให้รู้สึกนึกคิดแบบนี้ ฉะนั้นแล้วเมื่อเราเข้าใจในจุดนี้แล้ว จึงควรช่วยกันสร้างพื้นที่ทางสังคมสำหรับคนทุกคนในสังคม


ท้ายที่สุดนี้ การเรียนรู้เรื่องเพศวิถีที่เริ่มต้นจากภายในตัวเรา ที่ดีที่สุดนั้นคือการกลับมาสำรวจประสบการณ์ด้านในของเราแต่ละคน กลับมารู้สึกตัว อยู่กับปัจจุบันขณะ เพื่อให้ใจเรานี้มีความนิ่งพอที่จะมองเห็นสภาวต่างๆ เกิดขึ้นในตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ ความคิด ความเชื่อ ทัศนคติต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเพศวิถีของตัวเองและของคนในสังคมที่มีความแตกต่างหลากหลาย เพื่อตรวจสอบจิตใจตัวเอง และค่อยๆ เคลียร์ปม ทำงานกับอคติทางเพศที่ฝังหัวเรามาแต่นานแสนนาน และเรียนรู้ที่จะสื่อสารเรื่องนี้ด้วยความเป็นจริง ไม่ตัดสิน ตีตรา หรือเลือกปฏิบัติ เพื่อให้เกิดสังคมที่มีความเคารพในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ เข้าใจในความแตกต่างหลากหลายของคนเพื่อนำไปสู่ชีวิตทางเพศที่ปลอดภัยและเป็นสุขระหว่างกัน

 

 

 

บล็อกของ กิตติพันธ์ กันจินะ

กิตติพันธ์ กันจินะ
กิตติพันธ์ กันจินะ บางทีแล้วการที่เราออกมาทำกิจกรรมเพื่อสังคมนั้น มันก็มีรูปแบบที่หลากหลายแตกต่างกันไปตามบริบทของการทำงานและพื้นที่สภาพแวดล้อม ซึ่งนั่นล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการทำงานของกลุ่มคนที่มากมายหลายประเภทเฉกเช่นดอกไม้ในสวนน่ายล ท่ามกลางบรรยากาศสังคมอมยิ้มไม่ออกเช่นนี้ เยาวชนคนหนุ่มสาวก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่เข้าไปอยู่ในบริบทของความย้อนแย้งขัดเกลาเราเขาเช่นนี้ กล่าวคือมีทั้งเยาวชนที่เห็นด้วยกับแนวทางของซีกพันธมิตร และเยาวชนที่ไม่เห็นด้วยก็มีมาก ส่วนกลุ่ม “สองไม่เอา” นั่นก็มีไม่น้อย ทว่า กลุ่มที่ดูจะมีคือ “กรูไม่เอาสักอย่าง” เสียอีกที่มีเยอะ
กิตติพันธ์ กันจินะ
กิตติพันธ์ กันจินะความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้นเมื่อมีการชุมนุมของพี่ๆ ทั้งกลุ่มพันธมิตรฯ และ กลุ่มต้านพันธมิตรฯ คือ “อีกแล้วเหรอ”  ซึ่งเป็นความรู้สึกที่กลัวว่าเหตุการณ์จะนำพาไปสู่เหตุการณ์ “รัฐประหาร” เหมือนเมื่อครั้งปี 2549 อีกหนที่ผ่านมากลุ่มพันธมิตรฯ ถูกมองว่า เป็น “เงื่อนไข” สำคัญที่ทำให้เกิดการรัฐประหารในครั้งล่าสุด แถมยังไม่ค่อยมีบทบาทมากนักในการต่อต้านรัฐบาลที่มาจากการแต่งตั้งเลยแม้แต่นิด ซึ่งมันก็ไม่แปลกที่คนอื่นๆ ทั่วไป เขาจะมองว่ากลุ่มพันธมิตร เอาดี เห็นงาม กับการทำให้เกิดเหตุการณ์เยี่ยงนั้นสำหรับนักประชาธิปไตยอีกฝากแล้ว…
กิตติพันธ์ กันจินะ
กิตติพันธ์ กันจินะ หลายวันที่ผ่านมาผมและเพื่อนๆ หลายคน ที่ติดตามข่าวเรื่องการชุมนุมของ “พันธมิตร” ต่างใจจดใจจ่ออยู่กับจุดมุ่งหมายท้ายสุดที่จะเดินไปถึง พร้อมๆ กับกระแสข่าวการ “ปฏิวัติ” ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่อย่างไรก็ตาม ผมก็เชื่อมั่นว่าการชุมนุมโดย “สันติ” อย่างมี “สติ” เป็นสิทธิอันชอบธรรมของประชาชนที่สามารถดำเนินการได้ แต่การสลายการชุมนุมโดยการใช้ “ความรุนแรง” ที่ “ไร้สติ” นั้นเป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์และปรารถนายิ่งนัก
กิตติพันธ์ กันจินะ
มาริยา มหาประลัย1“ขอโดลเช่ เดอ ลาเช่ ขนาดกลางแก้วหนึ่งค่ะ เพิ่มกาแฟอีกชอตและะ No whip cream ค่ะ อ้อ! ขอแบบไลท์ด้วยนะคะ Low Calories ด้วย ขอบคุณค่ะ” เฮือก! โล่งอก! ฉันพูดประโยคยาวยืดนี่จบซะที! จะมีใครรู้ไหมนะว่าฉันต้องฝึกพูดคำว่า “โดลเช่ เดอ ลาเช่” มาตั้งกี่ครั้งกว่าจะมาเสนอหน้าสั่งกาแฟชื่อประหลาดอย่างคล่องปากนี่ได้ แต่คริๆ...คงไม่มีใครรู้หรอก เพราะฉันวางมาดดีไม่มีหลุดราวกับเรียนการแสดงจากครูแอ๋วมาเสียขนาดนี้ ใครๆก็ดูแต่เปลือกกันทั้งนั้นแหละเธอ! เอาล่ะ สะบัดบ๊อบไปนั่งรอกาแฟได้แล้วย่ะยัยมาริยา อ๊ายส์! จ่ายเงินก่อนสิยะเธอ!!  ฉันใช้ริมฝีปากที่ทาลิปสติค Christian Dior อย่างบรรจง ค่อยๆ ดูดกาแฟ…
กิตติพันธ์ กันจินะ
มาริยา มหาประลัยปล. คาวีเป็นชื่อพระเอกในละครตบจูบเรื่อง “สวรรค์เบี่ยง” ทางช่อง 3 ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนี้สวัสดีค่ะ คุณคาวี พักนี้มีข่าวข่มขืนขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์กันพรึ่บพรั่บ ราวกับคนในบ้านเมืองของเราร่วมแรงแข็งขัน (และแข่งขัน) กันข่มขืนเป็นเมกะโปรเจ็กต์ ตั้งแต่รุ่นเด็กประถมยันอาจารย์มหาวิทยาลัย ดูแล้วชวนห่อเหี่ยวละเหี่ยใจเสียฉิบ ไม่ยักเหมือนเวลาดูคุณคาวีข่มขืนเลยนะคะ ดูแล้วได้ความบันเทิงเริงเมืองปนโรแมนติค ก็แหม…เวลาพูดถึงคนร้ายข่มขืนผู้หญิงทีไร ใครๆ ก็นึกถึงแต่ผู้ชายตัวดำๆ ไว้หนวดเครารุงรัง หน้าเถื่อนๆ ยืนดักอยู่ตามซอกตึก เหม็นกลิ่นเหล้าคุ้งเคล้ากลิ่นเหงื่อปนกลิ่นคาวปลาตามตัว…
กิตติพันธ์ กันจินะ
ต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ผมต้องคิดหนักและเหนื่อยกับการใช้พลังในการพัฒนาโครงการ “กล้าเลือก กล้ารับผิดชอบ” ของเครือข่ายเยาวชนด้านเอดส์ ประเทศไทย โครงการนี้เป็นโครงการที่จะสร้างกลไกระดับพื้นที่เพื่อรณรงค์ สร้างความเข้าใจเรื่องเอดส์ เพศศึกษาอย่างรอบด้าน และสนับสนุนให้เยาวชน ตระหนักและมีทัศนคติที่ดีในการเรียนรู้เรื่องการป้องกันเอดส์ รู้จักประเมินความเสี่ยงของตนเอง และสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทางเพศของตนให้ปลอดภัยผ่านการดำเนินการกับกลุ่มเครือข่ายเยาวชนในพื้นที่ 8 กลุ่ม ใน 20 จังหวัดกระจายไปในภาคต่างๆ ซึ่งจะต้องดำเนินการตลอดระยะเวลา 12 เดือน…
กิตติพันธ์ กันจินะ
มาริยา มหาประลัย
กิตติพันธ์ กันจินะ
ประมาณวันที่ 14 เมษายน 2551 นี้ พ.ร.บ.ส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ พ.ศ. 2550  ก็จะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ หลังจากที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้ผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวและได้มีประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2551ส่งผลให้ต้องมีการเตรียมความพร้อมของหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งกลุ่ม องค์กร เยาวชน องค์กรพัฒนาเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในระดับพื้นที่ อย่างขะมักเขม้นอย่างไรก็ตามสำหรับเจตนารมณ์แล้ว กฎหมายฉบับดังกล่าวมีขึ้นมาเพื่อให้เกิดกลไกการสนับสนุนการมีส่วนร่วมและพัฒนาเด็กและเยาวชน โดยให้ภาคส่วนต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วมทั้งภาครัฐและเอกชน…
กิตติพันธ์ กันจินะ
ผมได้แรงบันดาลจากการเขียนเรื่องนี้จากภาพยนตร์เรื่อง “ปิดเทอมใหญ่ หัวใจว้าวุ่น” หนังใหม่ ที่กำลังฉายในโรงภาพยนตร์ใกล้บ้านท่านๆ ว่ากันด้วยเรื่องของเนื้อหาในหนังนั้น ผมก็ยังไม่ได้ไปชม เพียงแต่ดูเนื้อในจากเว็บไซต์ก็พอสรุปคร่าวๆ ได้ว่าภาพยนตร์นี้เป็นเรื่องราวของวัยรุ่น 4 วัยในความรัก 4 มุม ทั้ง รักที่ต้องแย่งกัน รักนักร้องดาราคนโปรด รักนอกใจ และรักข้างเดียว ....อืม เอาเป็นว่า ใครอยากรู้เรื่องมากขึ้นลองเข้าเว็บไซต์ www.pidtermyai.com  ดูแล้วกันนะครับในภาพยนตร์เรื่องนี้ได้นำเสนอชีวิตที่เกิดขึ้นของวัยรุ่นจำนวนหนึ่งในช่วงปิดเทอมใหญ่ ซึ่งบางคนก็ใช้เวลาไปแข่งกันขอเบอร์ผู้หญิง…
กิตติพันธ์ กันจินะ
ใครจะไปรู้ว่าเทคโนโลยีบางอย่างจะทำให้เราไม่พลาดการสื่อสารที่สำคัญได้จริงๆ เรื่องเกิดเมื่อวันหนึ่ง, ขณะที่ผมกำลังออนไลน์โปรแกรมแชทยอดนิยมนั้น พี่ต้าร์ (วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ แห่งกลุ่ม Y-ACT) ก็ได้เข้าโปรแกรมออนไลน์ MSN จากในค่ายแห่งหนึ่ง ณ สวนแสนปาล์ม นครปฐม ซึ่งเป็นการอบรมนักศึกษาอาชีวศึกษากว่า 30 สถาบัน  “อยากดูป่ะ” พี่ต้าร์ถามและได้เปิดโปรแกรมวิดีโอออนไลน์ขึ้นมาผมตอบว่าอยาก – สักพัก ภาพเคลื่อนไหวของเพื่อนๆ พี่ๆ ได้ปรากฏออกมา และมีภาพของเพื่อนๆ เยาวชนที่เข้าร่วมค่ายกำลังทำกิจกรรมอย่างสนุกสนานผมถามพี่ต้าร์ว่ามาทำอะไรกัน?พี่ต้าร์ บอกว่า “วันนี้น้องอาชีวะกว่า สามสิบสถาบัน…
กิตติพันธ์ กันจินะ
ในที่สุดนายกทักษิณ ก็ได้กลับบ้านเกิดเมืองนอน หลังจากที่ต้องเร่ร่อนรอนแรมอยู่ต่างประเทศตั้งปีกว่า กลับมาหนนี้ถือว่าได้กลับมาพิสูจน์ตัวเองในคดีต่างๆ ที่ตกเป็นจำเลย และยังได้กลับมาอยู่ใกล้ครอบครัวของตนเสียด้วย ยังไม่นับรวมถึงการที่จะต้องเข้ามาเคลียร์เรื่องอะไรอีกหลายอย่างที่เกิดขึ้นภายในพรรคและการเมืองที่ยังไม่ค่อยลงตัวสักเท่าใดนัก  ผมดูการกลับมาของคุณทักษิณ แล้วนึกถึงชีวิตของเด็กๆ ที่เร่ร่อนไร้บ้านอีกหลายคน ที่ต่างก็พเนจรไปในที่ต่างๆ ไม่ได้กลับบ้าน หรือบ้างก็ไม่มีบ้านอยู่อาศัย ซึ่งชะตากรรมของเขาหลายๆ คน ถือว่า "หนัก" กว่าคุณทักษิณหลายเท่า…
กิตติพันธ์ กันจินะ
  หลังจากที่โครงการเยาวชนไทยไม่ทอดทิ้งสังคม หรือ โครงการเยาวชน1000ทาง 1 ได้ดำเนินการมาจนจบวาระหนึ่งปีก็ถือว่าเรียนจบครบเทอมพอดี เพื่อนๆ พี่ๆ ทีมงานหลายคนต่างได้รับความรู้และประสบการณ์ในการทำงานเพื่อสนับสนุนให้เด็กและเยาวชนเข้ามาทำกิจกรรมเพื่อสังคมมากยิ่งขึ้น แม้ว่าโครงการเยาวชน1000ทาง จะเกิดจากความร่วมมือของเครือข่ายเยาวชนที่ทำกิจกรรมเพื่อสังคมมาหลายปี แต่สำหรับประเทศไทยนั้นนับว่ามีโครงการที่สนับสนุนกิจกรรมของเยาวชน "มือใหม่" ไม่มากนัก ฉะนั้นโครงการเยาวชน1000ทาง ถือว่าเป็นโครงการที่ภาครัฐสนับสนุนให้เกิดการทำงานโดยเยาวชนดำเนินการ มีผู้ใหญ่ทั้งภาครัฐและเอกชนเป็นที่ปรึกษาการทำงาน…