Skip to main content

 

1

 

เป็นนักเขียนมีความสุขไหม

 

วันหนึ่งฉันต้องตอบคำถามนี้ “เป็นนักเขียนมีความสุขไหม”

ผู้ที่ถามคำถามนี้เป็นเด็กนักเรียนตัวเล็กๆ ชั้นประถมปีที่ 5

ฉันรู้สึกดีใจที่มีเด็กถามเรื่องความสุขมากกว่าเรื่องรายได้

ฉันตอบเด็กออกไปโดยทันใดอย่างไม่ได้คิดว่า มีความสุขค่ะ หลังจากหลุดคำพูดออกไปว่า มีความสุข ฉันรู้สึกมีความสุขจริงๆ ที่มีเด็กถามเรื่องความสุขมากกว่าเรื่องรายได้ เพราะบ่อยครั้งจะถูกถามเรื่องรายได้จากการเขียนหนังสือ บางครั้งก็ถูกถามเรื่องชื่อเสียงที่จะได้มา ซึ่งฉันก็จะบอกเสมอว่า ทั้งสองอย่างนั้นไม่ใช่เรื่องจริง อาจจะดูเหมือนใช่เท่านั้น

 

หันไปมองเพื่อนนักเขียนรุ่นน้องที่ไปด้วยกัน เธอไม่ได้ตอบคำถามนี้ แต่ฉันเห็นยิ้มของเธอก็คิดว่าเธอก็คงตอบอย่างฉัน

 

เราอาจจะทุกข์อันเกิดจากเรื่องต่าง ๆ เหมือนอาชีพอื่นๆ แต่ไม่ทุกข์อันเกิดจากการงาน ไม่ได้ทุกข์จากการที่ต้องเขียนหนังสือ หรือไม่ได้ทุกข์ในระหว่างเขียน ไม่มีใครบังคับให้ต้องเขียน ไม่มีใครมาตะโกนใส่หน้าว่าเธอทำงานสิ

 

สำหรับฉันการเขียนหนังสือยังถือว่า เป็นการงานแห่งความสุข แม้ว่าจะเหนื่อยยากยิ่ง เพราะงานเขียนเป็นงานที่หนักและเหนื่อยมากทีเดียว โดยเฉพาะคนเขียนหนังสืออิสระ ทำงานหนักกว่าคนที่ไม่เป็นอิสระนัก ฉันพูดอย่างนี้ได้เต็มปากเต็มคำเพราะเคยผ่านมาแล้วทั้งสองอย่าง

 

ฉันบอกเด็กๆ ที่ฉันต้องไปพูดคุยด้วยเสมอว่า ถ้ารู้สึกทุกข์กับการเขียนก็อย่าเขียน ถ้าไม่อยากอย่าทำ ไม่ต้องกลัวใครแม้แต่ครู

 

เด็กส่งเสียงฮา หัวเราะกันสนุกสนาน ฉันไม่เชื่อว่าใครจะเขียนหนังสือด้วยความขลาดกลัวได้

 

ในระหว่างที่บอกเด็กเช่นนี้ ฉันพบสายตาแปลก ๆ ของครูที่มองมายังฉัน ครูคงวิตกกลัวว่าการงานจะไม่บรรลุผล จะไม่มีชิ้นงานออกมา แต่ฉันทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่สนใจสายตาของครู

 

 

2

 

นักเขียนมีความสุขไหม”

เด็กคนหนึ่งถามฉันว่า “เป็นนักเขียนมีความสุขไหม” ในงานอบรมเชิงปฏิบัติการนักเขียนรุ่นเยาว์ โรงเรียนชุมชนบ้านวังดิน อยู่ที่อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา ที่ศูนย์ศึกษาธรรมชาติทุ่งกิ๊ก อุทยานแห่งชาติแม่ปิง

 

ในช่วงแรกที่ครูติดต่อมา ฉันไม่ได้ถามว่าเด็กชั้นไหน แต่ไม่คิดว่าจะเป็นเด็กเล็กชั้นประถมปีที่ 5 โครงการนี้เป็นการเพิ่มทักษะ การอ่าน การเรียนรุ้ การสื่อสาร และการเขียน มีกลุ่มนักจัดกิจกรรม จัดกระบวนการ ของเจ้าหน้าที่มูลนิธิรักษ์เด็ก บรรณาธิการนิตยสารเพื่อนเด็ก ไปจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น กิจกรรมการจัดกระบวนการเรียนรู้ เพื่อให้เด็ก ๆ เรียนรู้กันอย่างสนุกสนาน

 

เด็กๆ สนุก ร่าเริงแจ่มใส พวกเขากล้าพูด กล้าตะโกน และกล้าคิดนอกกรอบ ครูพี่เลี้ยงคนหนึ่งกังวลว่า เด็กๆ ไม่มีระเบียบ และเริ่มจัดระเบียบเด็กเป็นระยะๆ เราได้แต่บอกครูว่าดีแล้ว ไม่เป็นไร พวกเขาไม่จำเป็นต้องตอบตรงคำถามเหมือนอยู่ในโรงเรียน

 

เช่น พี่นักจัดกระบวนการถามว่า ทุ่งกิ๊กเป็นอยางไร ทำไมถึงเรียกทุ่งกิ๊ก เขาก็จะตอบว่าเพราะเป็นกิ๊กกัน เมื่อถามว่า ปลาทูอยู่ที่ไหน เขาก็ตอบว่า อยู่ในท้องผมเอง ผมกินเข้าไป เมื่อเล่านิทานพวกเขาก็เอาชื่อเพื่อนๆ มาเป็นพระธิดา พระราชา มีพระธิดามากขนาดยี่สิบคน คิดดูเถอะกว่าพวกเขาจะเล่าจบเมื่อไหร่

 

 

ในระหว่างที่ครูพยายามจัดเด็กให้อยู่ในระเบียบ เราก็พยายามปล่อยเด็ก และในที่สุดเด็กๆ ก็หลุดพ้นออกมาจากกรอบของระเบียบ แต่เมื่อหยุดพัก ครูก็จะเรียกเด็กเข้าแถว เดินเข้าห้องอบรมและค่อยเดินออกมาอย่างเป็นระเบียบ เรื่องราวเหล่านี้เป็นธรรมดาโรงเรียนที่ไหนก็จะเหมือนกัน บางค่ายครูมากำกับอยู่ข้าง ๆ คอยดุเด็กไปด้วย เมื่อเด็กเบื่อเด็กหันไปคุยกัน ครูจะฟาดด้วยหนังสือ แต่สำหรับค่ายทุ่งกิ๊กครั้งนี้ถือว่าดี เพราะถึงแม้ครูจะแสดงอาการห่วงใย กังวล แต่ครูก็ดูอยู่ห่างๆ อย่างเกรงใจพวกเรา

 

ช่วงสุดท้ายว่าด้วยการเขียนกันอย่างจริงจัง รวิวาร มีอุปกรณ์ คือมะขามคลุกเปรี้ยวๆ ดุเหมือนเธอจะเรียกว่า “เปิดตาที่สาม” มีการให้สัมผัส มีการชิม แล้วจึงเขียน

 

ฉันไม่มีอุปกรณ์ใดๆ นอกจากสมุดบันทึกของตัวเอง ฉันให้เด็กคนหนึ่งมาอ่านสมุดบันทึกของฉันให้พวกเขาฟัง พวกเขาสนใจเพราะฉันเขียนถึงเรื่องราวของที่นี่และพวกเขาอย่างตลกๆ

 

ข้างนอกอาคารมีแต่ฝน ในอาคารมีเด็กๆ สามสิบคน มีแต่สายฝนและวิวป่าเท่านั้น ฝนตกปรอยๆ ไม่มีใครออกไปไหนได้ ฉันบอกเด็กๆ ว่า ให้พวกเขาออกยืนดูวิวป่า ดูสายฝนที่ระเบียงรอบๆ อาคาร คิดอะไร เห็นอะไร แล้วนำมาเล่าให้คนอื่นฟัง เล่าแบบไม่มีเสียงนั่นคือ เล่าด้วยการเขียน เราจะเขียนเล่าแทนการพูด เขียนเล่าเท่าที่เห็นและรู้สึกนึกคิดได้ด้วยตัวเอง ลืมเรื่องที่เราเคยอ่านมาทั้งหมด ใครจะไปยืนมุมไหนของอาคารก็ได้

 

ปล่อยให้พวกเขายืนให้ฝนสาดอยู่อย่างนั้นจนเป็นที่พอใจแล้วกลับมาเขียน บางคนออกไปเดินตากฝน บางคนวิ่งไปห้องน้ำ

 

 

สายฝนที่โปรยลงมากับผืนป่าที่อยู่ข้างหน้า และทุ่งโล่งๆ อีกด้านหนึ่ง พวกเขามองสิ่งเดียวกัน แต่เด็กๆ เขียนออกต่างกัน บางคนเขียนถึงเรื่องราวที่เข้าป่ากับพ่อไปหาของป่า บางคนเขียนถึงต้นไม้ที่ดูแปลกๆ บางคนเขียนเรื่องต้นไม้น่ากลัว บางคนเขียนเรื่องนก บางคนเขียนเรื่องผี

 

แม้แต่บางคนที่ครูมาบอกก่อนหน้านี้ว่า “ยังหนังสือเป็นตัวแทบไมได้ บางคนยังอ่านไม่ออก” เราบอกครูว่าไม่เป็นไร และไม่ได้ดูตารางวัดผลการอ่านเขียนของเด็กๆ เพราะไม่ใช่เรื่องสำคัญ มันอยู่ที่หัวใจมากกว่า


การจัดกระบวนการเรียนรู้ของน้องๆ ทีมงานหนังสือเพื่อนเด็กเป็นประโยชน์มากทีเดียว ทำให้เด็กๆ ไม่รู้สึกว่าการมาอบรมการอ่านการเขียนเป็นภาระของพวกเขามากนัก


ลายมือหยุกหยิกสองบรรทัด และเขียนสะกดผิดๆ ถูก แต่เมื่อพยายามอ่านดูก็รู้ว่าเป็นเรื่องเป็นราว เป็นสิ่งที่เขาเขียนออกมาจากหัวใจและไมได้ทำมันขึ้นมาด้วยความทุกข์หรือความขลาดกลัว


ฉันจึงรู้สึกเป็นสุข เมื่อเด็กถามว่า “เป็นนักเขียนมีความสุขไหม”

 

 

บล็อกของ แพร จารุ

แพร จารุ
บทความที่พยายามนำพาผู้อ่านฝ่าม่านมายาคติว่าด้วยการจัดการทรัพยากรป่าไม้ด้วยการป้องกันไฟป่าสู่รูปแบบการจัดการแบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพด้วยการ"ชิงเผา"  
แพร จารุ
บน ฟ้า มี เมฆ ลอย บน ดอย มี เมฆ บัง มี สาว งาม ชื่อ ดัง อยู่ หลัง แดน ดง ป่า     เนื้อเพลงมิดะค่ะ สองบรรทัด....เพราะเหลือเกิน และเข้าไปอยู่ในหัวใจใครต่อใครได้ไม่ยาก บนฟ้ามีเมฆลอยบนดอยมีเมฆบัง ฟังเพียงแค่นี้ก็จินตนาการได้กว้างไกล หัวใจก็ลอยไปถึงไหน ๆ แล้ว  
แพร จารุ
 ฉันเชื่อว่า หากคนเรามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทุกอย่างก็จะดีได้ไปกว่าครึ่ง บางคนบอกว่า ต้องเริ่มที่ตัวเราก่อน เช่น เรื่องทัศนคติที่มีต่อคนอื่น และตัดสินอย่างช้า ๆ   สามีของฉันบอกว่า จงรวดเร็วในการฟัง แต่จงเชื่องช้าในการตอบ คือให้ความสำคัญในการฟังมากๆ ก่อนจะตอบจึงจะดี จริงของเขาเพราะเดี๋ยวนี้มีแต่คนพูดและพูด แต่ไม่ค่อยฟังคนอื่น ฉันเอาเรื่องนี้มาเขียนเพราะได้แรงบันดาลใจมาจากไปสังเกตการณ์เขาพูดคุยทบทวนประสบการณ์การทำงานกันของโครงการ (CHAMPION/MSM) และสมาคมฟ้าสีรุ้ง    
แพร จารุ
  1   เหมือนเมืองบาป ฉันบอกเพื่อน ๆ จากเมืองกรุงว่า มาเชียงใหม่ อย่าลืมไปกินข้าวที่สุดสะแนนนะ อาหารหลายอย่างอร่อย และพบใครๆ ที่สุดสะแนนได้ไม่ยาก นักเขียน นักข่าว นักดนตรี นักร้อง ศิลปินวาดภาพ งานปั้น และคนที่ยังไม่มีงานทำและไม่อยากทำงานอะไรเลย
แพร จารุ
เก็บดอกไม้สีขาวแล้วไปฟังดนตรีกันค่ะ ใครมาเชียงใหม่ช่วงนี้ มีดอกไม้สีขาวบานรับ เช่น ดอกปีบ มองขึ้นไปออกดอกพราวเต็มต้น สวยงาม หอม ชวนเด็ก ๆ ไปเก็บดอกปีบที่ร่วงอยู่ตามพื้นมาร้อยมาลัยเล่น ปีบเป็นต้นไม้ที่ทนความแห้งแล้งได้ดียิ่ง เรียกว่าแทบไม่ต้องดูแลกันเลยทีเดียว ต้นไม้แกร่งแต่ให้ดอกขาวสวยบอบบางและมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ เดินไปที่ไหนทั่วเชียงใหม่ก็พบดอกปีบได้ไม่ยากค่ะ คราวนี้ ก็มาถึงฟังดนตรีค่ะ ดนตรีในเมืองเชียงใหม่ก็มีฟังทุกแห่งเหมือนกันค่ะ เรียกว่าหาฟังกันไม่ยาก เพราะนักดนตรีในเมืองเชียงใหม่มีเยอะ ไม่ต้องจ่ายเงินก็ฟังได้ เรียกว่ามีดนตรีฟรีอยู่ทั่วไป…
แพร จารุ
    อย่าเชื่อว่าผู้คนต้องการความร่ำรวยมากกว่าอย่ในบ้านของตัวเองอย่างเป็นสุข แต่ขออภัยก่อนฉันมัวแต่ปลูกต้นไม้ หน้าบ้านของฉันเป็นผืนดินที่มีต้นไม้หนาแน่น เมื่อที่ดินถูกเปลี่ยนมือเป็นของธนาคารกสิกรไทย มันถูกไถจนหมดสิ้นภายในวันเดียว ฉันจึงเริ่มปลูกต้นไม้ใหม่เป็นรั้วแทนกำแพงบ้านอีกชั้นหนึ่ง เพื่อหวังว่ามันจะช่วยให้คลายร้อนได้บ้าง
แพร จารุ
    เปิดเมล์พบข้อความนี้ถูกส่งเข้ามา *** หนูเป็นคนกรุงเทพฯ เคยมีแฟนเป็นหนุ่มกลายสมัยที่เรียนด้วยกัน เขาเคยชวนไปเที่ยวบ้านกลาย หนูอ่านเรื่องบ้านกลายที่พี่เขียนในประชาไท รู้สึกเดือดร้อนแม้ว่าหนูจะไม่ไปที่นั่นแล้ว เพราะหนุ่มกลาย คนที่หนูรักไม่น่ารัก ไม่ดี แต่ทะเลกลายดีสวยงาม อาหารทะเลมีมาก คนอื่น ๆ ที่กลายที่หนูรู้จักก็ดีค่ะ เขาดีกับหนูมาก คนใจดี หนูจึงอยาจะร่วมปกป้องด้วย หนูอ่านพบเรื่อง SSB และลองเขียนสรุปมาให้พี่ โครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ หรือในชื่อเต็มว่า การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมและท่าเรืออุตสาหกรรมในบริเวณพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ (Southern Seaboard : SSB)…
แพร จารุ
  งานชั้นนี้ “แพรจารุ” ไม่ได้เขียนเองค่ะ เป็นของคุณวิชัย จันทวาโร ถือโอกาสเอามาลงที่นี่ เพราะตอนนี้อยู่ในช่วงเผยแพร่ให้ผู้อ่านรู้จักทะเลกลาย ทะเลไทย ที่กำลังถูกมือร้ายอย่างเซฟรอนบริษัทขุดเจาะน้ำมันข้ามชาติทำลาย ภายใต้นโยบายของรัฐไทย ***************
แพร จารุ
  บ้านกลาย อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช 30 สิงหาคม 2553              คุณหญิงที่รัก  
แพร จารุ
โลกนี้คนชั่วมากเหลือเกิน และบรรดาคนชั่ว ๆ ก็ล้วนเป็นผู้มีอำนาจ พวกเขามีอำนาจที่จะอนุมัติโครงการใหญ่ ๆ ทำลายฐานทรัพยากรธรรมชาติ แหล่งอาหารที่คนพอจะทำมาหากินได้ พวก เขาขุดภูเขา ถมทะเล โดยไม่สนใจว่าเจ้าของเขาอยู่กันอย่างไร ต่อไปกะปิอร่อยๆ ที่ฉันเอามาฝากคุณก็จะไม่มีแล้ว เพราะที่บ้านฉันจะมี เซฟรอน คุณรู้ไหมมันคืออะไร คือบริษัทยักษ์ใหญ่ของต่างชาติ ที่เข้ามาถมทะเลสร้างท่าเรือ เพื่อขุดเจาะหาพลังงานไปขาย โดยไม่สนใจว่าเป็นแหล่งอาหารของชุมชน ป้าของฉัน แกบอกว่า นอนไม่หลับมานานแล้ว แกกังวลว่าจะอยู่อย่างไร แม่ของฉันอายุเก้าสิบปี ฉันไม่กลับบ้านมาสองปี แม่เก็บกระดาษไว้ให้ฉันสามแผ่น…