Skip to main content
20080407_สนทนา2


...
ทว่าการเคลื่อนย้ายกระบวนทัศน์ครั้งนี้ต้องอาศัยปัญญามหาศาล ความกล้าหาญมหึมา และความมุ่งมั่นเหลือคณา เพราะความกลัวจะจู่โจมถึงแกนกลางของแนวคิดนี้ และป่าวร้องว่าผิดพลาด ความกลัวจะกัดกินเข้าไปยังแก่นแห่งสัจธรรมล้ำเลิศและแปลงให้เป็นเรื่องเท็จเทียม ความกลัวจะบิดเบือน และทำลาย ฉะนั้นความกลัวจะเป็นศัตรูตัวฉกาจที่สุด


ทว่าเธอไม่อาจมีและไม่อาจสร้างสังคมที่ปรารถนาและใฝ่ฝันมาช้านานจนกว่าจะเห็นปัญญาและกระจ่างชัดถึงปรมัตถ์สัจจ์ที่ว่า สิ่งที่เธอทำแก่ผู้อื่นเธอก็ได้ทำแก่ตัวเอง สิ่งที่ไม่ได้ทำให้ผู้อื่น เธอก็ไม่ได้ทำให้ตัวเอง

ว่าความเจ็บปวดของผู้อื่น ก็คือความเจ็บปวดของตัวเธอ ความเบิกบานของผู้อื่นก็คือความเบิกบานของเธอด้วยเช่นกัน


ว่าเมื่อเธอปฏิเสธส่วนใดส่วนหนึ่งของมัน ถือว่าเธอกำลังปฏิเสธส่วนนั้นของตัวเอง...”

(หน้า 313-314)


ปัญหาสุดท้ายและยากเย็นที่สุดก่อนเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงสู่โลกอารยะ นั่นคือการทำให้มนุษย์มองเห็นและเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายในตัวเอง กระบวนการวิวัฒน์ทางจิตวิญญาณ จะดำเนินไปตามลำดับขั้น โดยขึ้นอยู่กับพลังศรัทธาเป็นสำคัญ ขณะที่สังคมโดยรวมดูเหมือนว่า ความเจริญแห่งวิญญาณจะวิ่งสวนทางกับความก้าวล้ำของเทคโนโลยี การหยัดยืนในกระแสอันเชี่ยวกรากให้ได้จึงเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง


ในความเป็นปุถุชน แม้ว่าลึกๆ จะฝันใฝ่ถึงสิ่งที่สูงส่ง ถึงชีวิตที่ดีกว่านี้ ถึงสังคมที่ดีกว่านี้ ทว่าน้อยคนเหลือเกินจะกล้าเชื่อว่า เราสามารถทำให้มันเป็นจริงได้ โดยเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงภายในตนเอง ก่อนจะแผ่ขยายไปสู่สังคม


ทั้งที่จริงๆ แล้ว ในระดับของการดำรงชีวิตประจำวัน สิ่งนี้ก็เป็นเรื่องจำเป็น เพราะหากเราไม่อาจยกระดับจิตใจของเราให้สูงขึ้น เราอาจถูกกระแสสังคมดึงให้ตกต่ำลงไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว เมื่อเหลียวมองรอบข้าง ไม่เห็นสิ่งที่เรียกว่าความรัก ความงาม หรือความดี ความมืดบอดในใจอาจทำให้เราคิดว่านั่นเป็นธรรมดาของโลก ใครๆ ก็ต้องเอาตัวรอด แล้วเหตุใดเล่าเราจะไม่เอาตัวรอดเช่นเดียวกับผู้อื่น


ด้วยความคิดที่หดตัวเช่นนี้ จึงทำให้สำนึกโดยรวมของคนทั้งโลกตกต่ำลง


สังคมส่งผลต่อปัจเจก แต่ปัจเจกก็ย่อมส่งผลต่อสังคมได้เช่นกัน ในอดีต สังคมโลกโดยรวมแม้จะยังมีความโหดร้ายป่าเถื่อนไม่ต่างจากปัจจุบันนัก ทว่า น้ำใจไมตรีและการมีชีวิตที่กลมกลืนกับโลกธรรมชาติมีมากกว่าปัจจุบัน ยุคสมัยแห่งทุนที่ชี้นำให้มนุษย์สะสมความโลภ ทำให้สังคมโลกเพิ่มแรงพุ่งทะยานไปข้างหน้าฉุดดึงมนุษย์ให้ออกห่างจากความเชื่อเรื่องความเป็นหนึ่งเดียวของทุกสิ่ง จิตใจที่หดแคบลงจนเหลือเพียงตัวเรา ของเรา ส่งผลต่อจิตสำนึกหมู่กลายเป็นปัญหาสำคัญที่กระทบทั้งหน่วยเล็กหน่วยใหญ่ ทั้งยังมีแนวโน้มจะเสื่อมถอยลงยิ่งกว่าเดิม


การหยุดยั้งหายนะของโลกซึ่งหมายถึงหายนะของตัวเราเองด้วย จึงมีอยู่เพียงวิธีเดียวนั่นคือการพยายามมองให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของทุกสรรพสิ่ง การดำรงตนอยู่ด้วยภาวะแห่งการเกื้อกูลมิใช่เบียดเบียน มิใช่แยกตัวออกห่าง


นี่เป็นสิ่งที่เรียกว่า “การเคลื่อยย้ายกระบวนทัศน์” ที่ท้าทายมนุษยชาติมากที่สุด ไม่ใช่การอนุรักษ์ไปพร้อมๆ กับทำลายโดยอ้างว่ายั่งยืน ไม่ใช่การค้นหาแหล่งพลังงานใหม่ ไม่ใช่การค้นหาความเป็นไปได้ในการดำรงชีวิตที่ดาวอังคาร ยิ่งไม่ใช่การหาทางรอดเพียงลำพังโดยไม่มองถึงสังคมโดยรวม


ฟังดูเหมือนเป็นสิ่งเลื่อนลอย เป็นอุดมคติชั่วกัลปาวสานที่ไม่มีวันเป็นจริง แต่หากนี่ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ต้องการแล้ว ยังจะมีสิ่งอื่นใดอีก ? ศานติ และความเบิกบานแห่งชีวิต ยังเป็นสิ่งที่น้อยเกินไปอีกหรือ ?

และแท้จริงแล้ว ความบริบูรณ์นี้ยังจะแสวงหาได้จากที่ใดอีกหากไม่ใช่ภายในตัวมนุษย์เอง

คำตอบสุดท้ายของทุกสิ่ง ไม่ว่าจะสรุปด้วยคำว่า “ความรัก” หรือ “ศรัทธา” แต่นี่ก็คือความรู้สึกสูงสุดและพลังงานมากมายมหาศาลที่สุด ที่มนุษย์มี แต่เห็นคุณค่าของมันน้อยเหลือเกิน


การอ่านสนทนากับพระเจ้าเล่ม 2 แม้ประเด็นส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องสังคม แต่ในที่สุดแล้ว ทุกคำถามก็ทำให้ผู้อ่านต้องย้อนกลับมามองถึงคุณค่าภายในตัวเอง ความคิดสูงสุดที่แต่ละคนมีต่อตัวเอง เพราะนี่คือสิ่งที่จะกำหนดคุณค่าของสิ่งต่างๆ ในสังคม หากเราไม่ตระหนักถึงสิ่งนี้ เราย่อมไม่อาจมีพลังในการเปลี่ยนแปลงสิ่งใดๆ ได้เลย สังคมก็จะดำเนินไปด้วยอำนาจของคนไม่กี่คน ที่ “กี๊ก” มันไว้ ไม่ยอมแบ่งให้คนอื่น


นานมาแล้ว ที่ผมมักจะใช้คำแก้ตัวดาดๆ ที่ว่า “รอให้เราพร้อมเสียก่อน ค่อยช่วยคนอื่น” เพราะผมคิดว่าตนเองยังไม่ดีพอ ยังไม่พร้อมที่จะช่วยใครได้ เมื่อกลับมาคิดดูในตอนนี้ คำแก้ตัวดาดๆ นี้เป็นจริงแค่ครึ่งเดียว เพราะ แม้ว่าผมจะยังไม่พร้อม แต่หากผมเห็นแก่ตัวน้อยลง ผมก็สามารถช่วยคนอื่นได้มากขึ้น


แท้จริงแล้วทุกคนล้วนมีคุณค่า และสังคมก็คือภาพสะท้อนของคุณค่าที่แต่ละคนมอบให้ตนเอง

คุณลงมือปลูกต้นไม้ สักวันมันก็ให้ร่มเงากับคุณ

คุณลงมือก่อกองไฟ สักวันมันก็แผดเผาคุณ


ศรัทธา” ที่คุณมีให้แก่ตัวคุณเองนั้น มีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงมากกว่าที่คุณคิด


*******************************


** ขอขอบคุณ คุณอัฐพงศ์ เพลินพฤกษา สำหรับหนังสือสนทนากับพระเจ้าเล่ม 2 และความปรารถนาดี

เสมอมา

บล็อกของ ฐาปนา

ฐาปนา
พี่หวี จอดรถเครื่องที่ใต้ร่มมะขาม แกเดินหน้าเซ็งมานั่งที่เปล คุยเรื่องนู้นเรื่องนี้อยู่พักหนึ่ง นอนแกว่งเปลถอนหายใจสามเฮือกใหญ่ ก่อนจะระบายความในใจออกมาด้วยประโยคเดิมๆ ว่า "...เบื่อว่ะ...ไอ้เปี๊ยกกับเมียมันทะเลาะกันอีกแล้ว..."เจ้าบุญ น้าเปีย เจ้าปุ๊ก ที่กำลังนั่งแกะมะขามสุกเอาไว้ทำมะขามเปียก ก็หันมาพยักหน้ารับรู้ แล้วก็ปล่อยให้พี่หวีได้พูดระบายความเครียดไป ถามบ้างเป็นบางครั้ง แต่ส่วนใหญ่ทุกคนจะนั่งฟังอย่างเห็นอกเห็นใจ
ฐาปนา
  ปลายสัปดาห์นั้น หมู่บ้านคึกคักเป็นพิเศษ เพราะผู้ใหญ่บ้านประกาศล่วงหน้ามานานหลายวันแล้วว่า วันศุกร์สุดท้ายของเดือน ผู้ว่าราชการจังหวัดจะลงพื้นที่มาตรวจเยี่ยมชาวบ้าน มารับฟังปัญหา จึงขอเชิญชาวบ้านมาร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนสารทุกข์สุขดิบกันซึ่งอันที่จริง การขอเชิญ นั้น ก็มีการขอร้อง กึ่งๆ ขอแรง ปะปนอยู่ด้วย เพราะช่วงเวลาดังกล่าว ชาวบ้านส่วนใหญ่กำลังวุ่นกับงานในไร่ เตรียมจะปลูกแตงกวา มะเขือเทศ ถั่วฝักยาวกันนานๆ จะมีเจ้าใหญ่นายโตมาเยี่ยมหมู่บ้าน ใครต่อใครก็เลยต้องทำความสะอาด ปัดกวาดบ้านกันใหญ่ เพราะเดี๋ยวถ้าเกิดแจ๊กพ็อต ผู้ว่าฯ เดินเข้ามาหาถึงบ้าน แล้วบ้านรกยังกับรังนก เป็นได้อายเขาตายเลย…
ฐาปนา
ชาวนาชาวไร่ ฟังวิทยุ มากกว่าดูโทรทัศน์ มากกว่าดูหนัง มากกว่าอ่านหนังสือ เพราะการงานในไร่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ไม่เอื้ออำนวยให้เอาสายตาและเวลาไปใช้อย่างอื่น เสียงเพลงและ เสียงข่าว จึงดังแว่วมาตามลมตั้งแต่ริมคลองส่งน้ำด้านทิศเหนือไปจนจรดทุ่งนาติดชายป่า ด้านทิศใต้ สมัยนี้วิทยุเครื่องเล็กๆ ใช้ถ่านก้อนเดียว เครื่องละแค่ไม่กี่ร้อย ใครๆ ก็ซื้อได้ ขนาดเจ้าโหน่ง เด็กเลี้ยงวัว ยังห้อยโทรศัพท์มือถือฟังวิทยุได้ ... น่าน! เท่ห์ซะไม่มี ฟังกันมากที่สุด ก็ต้องเป็นเพลงลูกทุ่งทั้งเก่าทั้งใหม่ รองลงมาก็สตริง ส่วนคนมีอายุก็ชอบฟังข่าว ฟังเทศน์ฟังธรรม
ฐาปนา
สองเดือนผ่านไป คณะลิเก กลายเป็นส่วนหนึ่งของหมู่บ้าน กลายเป็นมหรสพประจำหมู่บ้าน ซึ่งไม่เพียงแค่คนในหมู่ แต่คนต่างหมู่ ต่างตำบลยังพากันมาดู แต่ละคืน ที่ศาลาประจำหมู่บ้านซึ่งกลายสภาพเป็นโรงลิเก จะมีเก้าอี้พลาสติกสะอาดสะอ้านจำนวนสิบกว่าตัววางไว้อย่างมีระเบียบ รอผู้ชมขาประจำมานั่ง
ฐาปนา
ปลายเดือนตุลาคม ผมกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดครั้งแรกในรอบหลายปี ทั้งที่จริง ผมไม่มีความจำเป็นจะต้องไปแต่อย่างใด เพราะครอบครัวของผม บ้านของผม ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว สิ่งที่ยังเหลืออยู่ มีเพียงความทรงจำตลอดสิบแปดปีที่ผมได้เติบโตมา โรงเรียน บ้านพักอาจารย์ สนามเด็กเล่น หอนาฬิกา ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน สถาบันราชภัฎซึ่งเมื่อก่อนคือวิทยาลัยครู ทุกๆ สถานที่ที่คุ้นเคย ยังปรากฎภาพชัดเจนทุกครั้งที่ระลึกถึง แต่กับสิ่งที่เห็นตรงหน้าในวันนี้ เหลือเพียงแค่ร่องรอยบางส่วนจากอดีต เพราะวันนี้ เมืองเติบโตขึ้นมาก อาคารเก่าๆ ถูกรื้อถอนกลายเป็นห้างสรรพสินค้า พื้นที่รกร้างว่างเปล่าที่เห็นมาตั้งแต่เล็ก…
ฐาปนา
คณะลิเกมาสู่หมู่บ้านด้วยเหตุบังเอิญวันหนึ่ง ยายนุ้ยทำบุญที่บ้านตอนเช้า พอตกบ่าย ก็นิมนต์พระหลานชายที่บวชมาได้สามพรรษาสอบได้นักธรรมโท มาเทศน์ พอตกค่ำ แกก็จ้างลิเกมาเล่นที่ศาลากลางหมู่บ้านวันนั้น ที่บ้านยายนุ้ยจึงมีคนหนาตา โดยเฉพาะช่วงที่มีลิเก เพราะนานนักหนาแล้วที่ไม่มีลิเกมาเล่นในหมู่บ้าน สมัยนี้เวลามีงาน ถ้าไม่ใช่วงดนตรี(อิเลกโทน)นุ่งน้อยห่มน้อย ก็เป็นหนังกลางแปลง ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ ใครต่อใครก็อยากดู พระเอกรูปหล่อ นางเอกนัยตาคม ตัวโกงหน้าโหด ตัวตลกน่าเตะ เครื่องเพชรแวววับทิ่มทะแยงตา เสียงระนาด ตะโพน รัวเร้าใจ “แหม...ถ้าเป็นไชยา มิตรชัย ละก้อ...เหมาะเลยนิ..…
ฐาปนา
เรื่องมันเริ่มจากคำบอกเล่าของทิดช่วง ในงานศพงานหนึ่ง แกเล่าให้เพื่อนบ้านฟังว่า กลางดึกคืนก่อน แกลุกจากที่นอนมายืนฉี่ที่ริมรั้ว อากาศเย็น น้ำค้างกำลังลง ขณะที่แกกำลังระบายน้ำทิ้งอย่างสบายอารมณ์ สายตาของแกก็เหลือบไปเห็น ดวงไฟดวงใหญ่ ลอยขึ้นๆ ลงๆ อยู่ในความมืดที่ปลายรั้วอีกด้านหนึ่ง ห่างจากตัวแกไปสักสี่ห้าสิบเมตร พอแกเสร็จภารกิจ ชะรอยจะคิดว่าเป็นตัวอะไรสักอย่างมาหากิน แกเลยออกปากไล่ว่า “ชิ้วๆ” เท่านั้นเอง ดวงไฟนั้นก็พุ่งตรงเข้ามาหาแก ทำเอาแกสะดุ้งโหยงจนต้องเผ่นเข้าไปใต้ถุนบ้าน แกกดสวิทช์เปิดไฟใต้ถุน สว่างพรึบ มองซ้าย...มองขวา...มองหน้า...มองหลัง มันคืออะไรกันวะ...? หรือว่า...…
ฐาปนา
บ้านนอก แม้จะไม่สะดวกแต่ก็สบาย ถึงจะร้อนแดดแต่พอเข้าร่มก็เย็น ผิดกับเมืองใหญ่ ที่ร้อนอบอ้าวตลอดปี ฝนจะตกแดดจะออก ความร้อนก็ยังคงสถิตย์อยู่เสมือนเป็นอุณหภูมิประจำเมือง ใครเลยจะคิดว่า ความร้อนจากในเมืองจะแผ่ลามเข้ามาถึงหมู่บ้านที่ปราศจากกลิ่นฟาสต์ฟู้ด ข้อมูลข่าวสารปรากฎทั้งรูปและเรื่องบนหนังสือพิมพ์ในร้านกาแฟ เสียงรายงานข่าวลอยมาจากวิทยุที่แขวนอยู่ข้างตัวเด็กเลี้ยงวัว ทั้งภาพเคลื่อนไหวทั้งเสียงส่งตรงมาเข้าจานดาวเทียมสีเหลืองสดใสเหนือหลังคาร้านค้าของป้านุ้ย ที่ๆ ใครต่อใครก็มาชุมนุมกันตั้งแต่เช้า บ้างซื้อยาสูบ ซื้อขนมเป็นเสบียงก่อนไปนาน บ้างตั้งวงกาแฟกระป๋อง เขียวบ้าง เหลืองบ้าง แดงบ้าง…
ฐาปนา
ณ วงกาแฟ (กระป๋อง) ยามเช้า ตาผวน ลุงใบ และ ตาสุข สามเฒ่านั่งเสวนาเปรียบเทียบเรื่องข้าวกับเรื่องการเมือง “ข้าว่า เรื่องข้าวมันก็เหมือนเรื่องการเมืองนั่นแหละ” ตาสุข เปิดประเด็น “อธิบายที?” ลุงใบถาม “เวลาปลูกข้าว เราก็ต้องเลือกพันธุ์ดีๆ ใช่มั้ยล่ะ ถ้าข้าวพันธุ์ดีก็ไม่ต้องใส่ปุ๋ยใส่ยามาก ทดน้ำเข้านาอย่างเดียว มันก็งอกงาม แต่ข้าวพันธุ์แย่ๆ มันก็ต้องใส่ปุ๋ยหลายกระสอบ ฉีดยาหนักๆ แต่พอโตก็ดันเม็ดลีบ ทำให้ข้าวเสียราคาป่นปี้หมด การเมืองมันก็อย่างเดียวกันละว้า... ถ้าได้คนดีๆ ไปมันก็ไม่โกงกินมาก มันก็ทำงานของมันไป ดีๆ ชั่วๆ อย่างน้อยมันก็บริหารของมันได้ แต่ถ้าได้ไอ้พวกเลวๆ ไป มันก็โกงมันก็กิน…
ฐาปนา
แต่ไหนแต่ไรมา ราคาข้าวแต่ละปีไม่เคยห่างไปจากระดับเกวียนละสี่พัน ห้าพัน อย่างดีที่สุดคือหกพัน เขยิบขึ้นๆ ลงๆ อยู่แค่ สองร้อยบ้าง สามร้อยบ้าง ชาวนาได้ข้าวพอกิน เหลือก็ขาย แต่พอหักค่าปุ๋ยค่ายา ค่าไถ ค่าเกี่ยว ก็ไม่พอกิน สุดท้ายก็ต้องเข้าเมืองไปหางานทำอยู่ดี หน้านาก็ทำนา หมดหน้านาก็เข้ากรุง เป็นวัฎจักรชีวิตสืบทอดจาก ชาวนาเจเนอเรชั่นปู่ จนถึง รุ่นหลาน ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง มาปีนี้ ข้าวเกวียนละหมื่นต้นๆ พอหายใจหายคอได้บ้าง กระนั้นหนี้สินก้อนโตก็ยังยืนค้ำหัวให้กลุ้มใจทุกครั้งที่คิดถึง ตาจิ้มเกี่ยวข้าวได้แปดเกวียน หักนู่นหักนี่ไปแล้วเหลือเข้ากระเป๋าสามหมื่นกว่า บางคนว่า…
ฐาปนา
ยุคข้าวยากหมากแพง สินค้าเกษตรจำพวกพืชผักเวลานี้ ราคาดีแทบทุกอย่าง ตั้งแต่ข้าวซี่งแม้จะราคาตกมาหน่อย แต่ก็ดีกว่าปีก่อนๆ มากอื่นๆ ก็อาทิเช่นกะเพรา-ผักใบ ขาดไม่ได้สำหรับร้านอาหารตามสั่ง แม่ค้าขายที่หน้าแผงกำละ 5-7 บาท แต่แม่ค้าคนกลางมารับซื้อที่หน้าไร่กิโลกรัมละ 5-10 บาทบวบ-ผักธรรมดาแต่ราคาไม่เคยตก ราคาจากสวนกิโลกรัมละ 7-10 บาทกล้วยน้ำว้า-ผลไม้บ้านๆ ธรรมดาสุดๆ แต่ขอโทษที-นาทีนี้ พ่อค้ามารับซื้อถึงสวนกล้วย หวีละ 8 บาทเป็นอย่างน้อย(ลูกเล็ก) เครือหนึ่งมีสักสิบหวี ก็เกือบร้อยบาทแล้ว
ฐาปนา
สังคมชาวบ้าน แม้จะอยู่คนละหมู่บ้าน คนละตำบล คนละอำเภอ หรือแม้แต่คนละจังหวัด ถ้าได้ชื่อว่าเป็น “คนมีตังค์” ต่อให้ไกลแค่ไหน เมื่อมีใครสักคนพูดถึง ก็จะมีคนจดจำไว้ ถ้าอยู่ใกล้หน่อยก็มีคนรู้จัก เผลอๆ รู้ไปถึงวงศ์วานว่านเครือนู่น เหมือนที่เขาว่า มีเงินก็นับเป็นญาติ ใส่ผ้าขาดถึงเป็นญาติก็ไม่นับ อย่าง ตาผล คนตำบลใกล้เคียงไปได้เมียที่สมุทรสาคร ทำบ่อเลี้ยงปลา จนกระทั่งมีรถกระบะ 2-3 คัน เปิดร้านคอมพิวเตอร์ให้น้องเมียดูแล ลุงเปลี่ยน อยู่ท้ายหมู่บ้าน ใครก็รู้ว่ามีหนี้เยอะ แต่พอไปเป็นพ่อค้าคนกลางตระเวนซื้อของจากแถวบ้านไปขายที่กรุงเทพฯ ก็เริ่มมีตังค์ ปลดหนี้สินไปจนหมด แถมกำลังจะปลูกบ้านใหม่…