Skip to main content
ชิ สุวิชาน
พี่นนท์เล่าให้ฟังว่า หลังจากที่ได้ฟังพาตี่ทองดี จึงร้องเพลงธาปลือให้ฟัง จนกระทั่งถึงท่อน โย เย็นนั้นระหว่างงาน พี่นนท์จึงถามคำแปลของเพลงเหล่านั้น หลังจากเสร็จงานนั้นเพลงเส่อเลจึงมีการต่อเติมจนเป็นเพลงขึ้นมาจนได้ “พี่นึกถึงหญิงสาวที่ต้องโตขึ้นมาอย่างลำบาก นึกถึงพัฒนาการการเติบโตของชีวิต ต้องตามพ่อตามแม่ปลูกข้าว กว่าจะโตเป็นสาวต้องผ่านการตรากตรำทำงานอย่างลำบาก พี่เลยจินตนาการการตายของเธอว่า เป็นการเสียชีวิตด้วยไข้ป่า”
หัวไม้ story
 Photos by : Berd Whitlock , from : http://www.flickr.com/photos/rwhitlock/3167211359/     - ทีมข่าวความมั่นคง -  หลังบรรยากาศเฉลิมฉลองคริสมาสต์เพียง 2 วัน และอีกเพียงไม่กี่วันก็จะเป็นวันขึ้นปีใหม่ แต่สำหรับชาวปาเลสไตน์ ตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2551 มันไม่ใช่วันแห่งความสุขรื่นรมย์เหมือนที่อื่นๆ แต่กลับเป็นวันที่แสนเจ็บปวด เลือดไหลรินและน้ำตาไหลนอง ในวันนั้นอิสราเอลลงมือส่งหน่วยปฏิบัติการทางอากาศเข้าโจมตีที่ทำการรัฐบาลฮามาส รวมไปถึงบ้านเรือนของผลเรือน ปฏิบัติดังกล่าวต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 800 ราย
Hit & Run
 จันทร์ ในบ่อ ก่อนอื่นขอ "สวัสดีปีใหม่ครับ" ปีใหม่นี้คนไทยมีนายกฯใหม่ แต่ยังต้องเซ็งที่มีการเมือง(โครต)เก่า ‘ผู้จัดการ' ก็คนหน้าเก่าเลยไม่รู้ว่าจะเรียกร้อง ‘การเมืองใหม่' กันให้วุ่นวายทำไมเป็นเดือนๆอีกฝ่ายก็อุตส่าห์ลงทุน ‘โฟนอิน' มาเป็นรอบๆ ขู่จนเสื้อเหลืองเสื้อเขียวสะดุ้งไปหลายเฮือก แต่สุดท้ายหวยล็อค ได้ฮาตรงที่เขาบอกกันว่า ‘ประชาธิปัตย์' ก็มากับเสียง ‘โฟนอิน' !?? ที่สำคัญโฟนอินนี้ทำเอา ‘เสื้อแดง' มึนตึ้บเป็นแถว เช้ามาพูดได้คำเดียวว่า "มาม่า...อร่อย "เอาล่ะ..เรื่องการเมืองไว้ค่อยว่ากันต่อ แต่ตอนนี้ขอพักฉลองเทศกาลปีใหม่สากลสักสองสามวันร่วมกับคนทั้งโลก ขออวยพรแบบสากลหน่อย"อยากให้คนทั้งโลกมีความสุขและสันติจงมีแก่ทุกท่าน" ทีนี้ ขอไปที่เรื่องน่ายินดีกันบ้างเมื่อวันก่อนชาวไทยอาจจะเสียใจกับการพ่ายแพ้ของทีมฟุตบอลไทย แม้ว่าจะเล่นได้ดีแล้วก็ตามแต่เมื่อเทพธิดาแห่งชัยชนะไม่เข้าข้าง ประตูชัยจึงไปตกอยู่ฝั่งเวียดนาม ก็ขอแสดงความยินดีกับเวียดนามด้วยเช่นกัน บอลสองนัดนี้ทำให้เห็นแล้วว่าเพื่อนบ้านของเรานั้นไม่ธรรมดาเลยทีเดียว ต่อไปการดูฟุตบอลในภูมิภาคคงสนุกมากขึ้นแน่ๆ หลังบอลนัดนี้คิดว่าคงไม่มีของขวัญปีใหม่จากวงการกีฬาเสียแล้ว การเมืองที่ยุ่งเหยิงทำให้ลืมเสียสนิทไปเลยว่ายังมีมวยคู่เด็ดเหลืออีกไฟต์รู้ตัวอีกทีก็วันที่ 31 ธันวาคม 2551 ‘แวฮามะ' หรือ ‘เด่นเก้าแสน กระทิงแดงยิม' ก็กระชากเข็มขัดเส้นใหญ่รุ่นฟลายเวต WBA จากแชมป์โลก ‘ทาเคฟูมิ ซากาตะ' เจ้าของตำแหน่งชาวญี่ปุ่นมาได้แล้ว รอบนี้มี ‘เขาทราย แกแล็คซี่' มาเป็นเทรนเนอร์ติวเข้มพิเศษให้ เรียกว่าพิเศษแบบวิ่งวันละ 10 กิโลฯ ก็ออกไปพร้อมกัน พยายามกันสุดใจจนหลังแลกหมัดกันที่สังเวียนซัน พลาซ่า เมืองฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น ‘เด่นเก้าแสน' ชนะน็อคซากาตะได้ในยกที่ 2 แชมป์คนใหม่เกิดในเมืองไทยอีกแล้วสำหรับ ‘เด่นเก้าแสน' มีชื่อจริงว่า สุเทพ หวังมุก เป็นชาวเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เกิดเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2519 นับถือศาสนาอิสลาม มีชื่อตามศาสนาอิสลามว่า ‘แวฮามะ' สถิติการชก 41 ครั้ง ชนะ 39 (น็อค 14) แพ้ 1 เสมอ 1 (เสมอซากาตะ เจ้าของเข็มขัด WBA)ส่วน ‘เขาทราย แกแล็คซี่' หรือ สุระ แสนคำ เป็นอดีตแชมป์โลกที่สามารถป้องกันตำแหน่งได้ถึง 19 ครั้งติดต่อกัน นับเป็นสถิติโลกสูงสุดในรุ่นจูเนียร์แบนตั้มเวทถึงปัจจุบัน ในปี 1999 ได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติ ‘World Boxing Hall of Fame' จากสมาคมมวยโลก ได้รับการบรรจุชื่อในหอเกียรติยศนักมวยโลก ณ เมืองคานาสโตต้า (Canastota) มลรัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยสถิติการชก 50 ครั้ง ชนะ 49 ครั้ง โดยชนะน็อคถึง 43 ครั้ง คิดเป็นสถิติชนะด้วยการน็อคเอ้าท์ถึง ร้อยละ 87.75 และเคยแพ้คะแนนเพียงครั้งเดียวเขาทรายเคยแก้ปัญหารถติดในกรุงเทพมหานครได้โดยไม่ต้องเป็นผู้ว่าฯ หรือมีตำแหน่งทางการเมือง เพราะการชกของเขาทรายทำให้แทบทุกบ้านไม่ออกไปไหนเพราะต้องรอดูการชกของเขา แต่ปัจจุบัน เราอาจเห็นเขาทรายรับบทตัวประกอบเล็กๆ ในหนังในละคร เป็นตุ๊ดเป็นแต๋วบ้าง ภาพลักษณ์วันนี้แสนสวนทางกับความยิ่งใหญ่และความสุขที่เขาเคยมอบให้คนไทยหลายต่อหลายครั้งคนไทยจำภาพเขาทรายอันยิ่งใหญ่และความสุขที่เขาทรายเคยมอบให้แทบไม่ได้แล้ว..แต่การไปญี่ปุ่นร่วมกับเด่นเก้าแสนคราวนี้ เขาทรายยังคงได้รับความสนใจจากแฟนมวยชาวญี่ปุ่น แม้ยามจะเดินทางไปทานอาหารก็มีแฟนๆ ชาวญี่ปุ่นจำได้ เข้ามาทักทายขอลายเซ็นและขอถ่ายรูปตลอดเวลา เขาทรายเคยมีภรรยาเป็นคนญี่ปุ่น และเป็นฮีโร่ที่เข้าเส้นพรมแดนเข้าไปนั่งในใจคนญี่ปุ่นมาจนถึงปัจจุบันด้วย ขอแสดงความยินดีในความพยายามของทั้ง 2 คน และทีมงานที่ทำวันนี้จนสำเร็จ เพราะเข็มขัดแชมป์โลกสถาบันใหญ่ไม่ค่อยมีให้เห็นในไทยแล้ว คงถือว่าเป็นข่าวดีส่งท้ายปีสำหรับวงการกีฬาบ้านเรา อย่างไรก็ตาม การเล่นกีฬานั้นมีความรู้สึกอหังการ์ของผู้ชนะและมีความรู้สึกสิ้นหวังของผู้แพ้ ทำให้มีฝักมีฝ่ายชัดเจน สิ่งสำคัญที่ไม่ควรลืมคือความแฟร์ต่อกันและการจัดการกับความรู้สึกทั้งชนะและแพ้ หากปล่อยมันชัดเจนจนเกินเลยไป ตัวอย่างจากการแพ้และชนะไม่เป็นก็มีให้เห็นแล้วจากการเมืองบ้านเรา ในวงการกีฬา ผมนึกถึงตัวอย่างของการแพ้และชนะเป็นที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานมานี้ ที่สำคัญมันเกิดขึ้นในกีฬาอย่างการชกมวยที่ดูป่าเถื่อนดุร้ายที่สุด นั่นก็คือการชกของแมนนี่ แพ็คเกียว ชาวฟิลิปปินส์ ขวัญใจคนเอเชีย กับ ออสการ์ เดอ ลาโฮยา ชาวสหรัฐซึ่งฝ่ายแรกเป็นผู้ชนะอย่างค่อนข้างหมดจด"กุญแจสำคัญอยู่ที่ความเร็ว ผมไม่แปลกใจกับผลการแข่งขันหรอก เพราะเตรียมตัวมาดีตั้งแต่ต้น และหลังจากจบยกสองก็รู้แล้วว่าคว่ำเขาได้ ผมมีความสุขที่นำชัยชนะนี้ไปมอบให้กับประเทศได้ แต่เดอ ลา โฮย่า ก็ยังคงเป็นไอดอลของผมต่อไป" นี่คือคำกล่าวของ แพ็คเกียว หลังเอาชนะ ‘โกลเดน บอย' เดอ ลาโฮย่า สุดหล่อขวัญใจอเมริกันได้สำเร็จ จนได้รับการยกย่องว่าเป็นนักมวยที่ดีที่สุดในโลกขณะนี้หากเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์  ส่วน เดอ ลาโฮยา ในฐานะผู้แพ้กล่าวว่า "ผมยอมรับว่า แพ็คเกียว ยิ่งใหญ่จริงๆ เขาเก่งกว่าผมในไฟต์นี้ ไม่น่าแปลกใจเลยที่ผลออกมาแบบนี้ เพราะว่าผมเจอกับสุดยอดนักชก ที่ผ่านมาก็ซ้อมอย่างเต็มที่แล้ว จากนี้แม้หัวใจของผมยังเรียกร้องอยู่แต่ว่าร่างกายไม่พร้อมแล้ว.."คำพูดของผู้ชนะและแพ้ในกีฬาที่ดุเดือดเลือดพล่านที่สุดสองคนนี้ จึงเป็นอะไรที่สังคมไทยน่าจะต้องขบคิดตามอย่างยิ่งขอกล่าวอีกครั้งหนึ่งสวัสดีปีใหม่ครับ
เจนจิรา สุ
เราทยอยออกจากบ้านร้างด้วยดวงใจที่ปวดร้าว ตรอกเล็กๆ ยาวเกือบหนึ่งกิโลเมตร เป็นเส้นทางสัญจรของผู้คนจากหมู่บ้านกลางป่าไปสู่บ้านห้วยปูแกงเก่า บัดนี้ถูกย่ำไปด้วยรอยของสัตว์สี่เท้า “เชื่อไหมว่าครั้งหนึ่ง เราเคยช่วยกันขนทรายจากแม่น้ำข้างล่างมาถมตรอกแห่งนี้ กระสอบทรายนับร้อยจากจำนวนคนเพียงหยิบมือเพื่อ....” ฉันหยุดคำพูดเพียงบางแค่นั้น ทิ้งบางส่วนค้างไว้ในความทรงจำ “เพื่ออะไรล่ะ” ใครคนหนึ่งยังคงตั้งคำถามต่อสิ่งที่ค้างคา “เพื่อให้นักท่องเที่ยวจากหมู่บ้านข้างนอกเขามาเห็นวิถีชีวิตเรา มาเห็นหมู่บ้านที่เป็นหมู่บ้านจริงๆ ไม่ใช่มีแต่ร้านขายของ แต่มันคงไกลเกินไป นักท่องเที่ยวจึงมาถึงแค่บ้านห้วยปูแกงเก่าแล้วก็ขึ้นเรือกลับ ตรอกแห่งนี้จึงไม่มีความหมายกลายเป็นทางเดินของวัวและควาย” ฉันอธิบายต่อ
องค์ บรรจุน
ขนิษฐา คันธะวิชัย   ปกติฉันทำงานที่ตึกประชาธิปก-รำไพพรรณี ซึ่งอยู่ติดกับคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ จึงมักจะไปทานอาหารที่โรงอาหารของคณะเศรษฐศาสตร์ ในช่วงแรกๆ ที่ฉันมาเรียนที่จุฬาฯ ก็ได้ยินคนขายอาหารพูดกันเองว่า   “คนเก็บจานที่มาใหม่น่ะ พูดอังกฤษคล่องเชียว เป็นคนพม่า พูดไทยไม่ได้ เวลาจะให้ทำอะไรแกต้องสั่งเขาเป็นภาษาอังกฤษนะ” ฉันเลยรับรู้มาตั้งแต่นั้นว่า โรงอาหารแห่งนี้มีแรงงานข้ามชาติจากพม่าทำงานอยู่ (พอดีตอนนั้นเรียนเรื่องการย้ายถิ่นข้ามชาติอยู่ด้วย) หลังจากนั้นก็จะได้รับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับแรงงานพม่ามาตลอด ว่าที่เราเข้าใจว่าเป็น “แรงงานพม่า” นั้น แท้จริงแล้วอาจเป็นได้ทั้งพม่า มอญ กะเหรี่ยง ไทใหญ่ อาระกัน ฯลฯ คือมีความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์อยู่ข้างใน เพียงแต่โดนอัตลักษณ์ความเป็นรัฐชาติพม่าทับไว้ ซึ่งทั้งหมดนี้ฉันได้ตระหนักจากการลงภาคสนามที่จังหวัดสมุทรสาคร จำได้ว่าครั้งนั้นฉันและเพื่อนไปช่วยศูนย์วิจัยการย้ายถิ่นทำ pilot แบบสอบถามเกี่ยวกับการทำงานของเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย ซึ่งเวลาถามแบบสอบถามต้องใช้ล่ามภาษามอญเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้เพื่อนของฉันอีก 3 คนยังมีโอกาสไปลงภาคสนามเพื่อดูประเด็นเกี่ยวกับการย้ายถิ่นของแรงงานข้ามชาติที่สมุทรสาครอีกด้วย แต่เวลานำมารายงานในห้องเรียน เพื่อนร่วมชั้นก็ยังเรียกเขาว่า “แรงงานพม่า” อยู่ดี เพื่อความสะดวกปาก
เจนจิรา สุ
สมรภูมิแห่งนี้เรารบกับอะไร ที่ผ่านมาเราถูกจองจำไว้ในกรงที่มองไม่เห็น เรามีอาหาร มีที่อยู่หลับนอน แต่เราไม่สามารถเป็นคนเต็มคนได้ เพราะเราไม่มีสิทธิ์คิดหรือแสดงความคิดเห็น ไม่สามารถรู้สึกเจ็บแค้นร้อนหนาว เราต้องทำหน้าที่อันถูกกำหนดมาจากผู้คุม ต้องทำงานหนักเพื่อสร้างความร่ำรวยให้กับนาย เพียงเพื่อส่วนแบ่งที่ถูกเจียดให้พอประทังชีวิต แล้ววันหนึ่งเราต้องการปลดแอก เราต้องการตั้งอาจักรของตนเอง มีบ้านและที่ดินที่เป็นของเราจริงๆ ได้รับค่าแรงที่เป็นธรรมจากสมองและแรงกายของตนเอง
เจนจิรา สุ
ตุลาคม 2551"พร้อมหรือยัง"ใครคนหนึ่งตะโกนประโยคซ้ำเมื่อห้านาทีที่แล้ว เมื่อขบวนหนุ่มสาวต่างถิ่นยังคงง่วนอยู่กับการกดชัตเตอร์เก็บภาพแสงแดดยามเก้าโมงเช้า ช่างยวนใจให้ไม่อาจละสายตาจากหญิงกระยันที่ปะแป้งแต่งตัวกันจนเป็นที่เรียบร้อย หลายคนจึงยังเสียดายที่จะละกล้องแล้วออกเดินทาง "หากไปสายกว่านี้เราจะร้อนมากเมื่ออยู่กลางป่า" ฉันเตือนเพื่อนที่ไม่มีประสบการณ์ในการเดินเท้าสู่หมู่บ้านกลางป่าที่อยู่ห่างออกไปจากที่นี่ราวๆ สามกิโลดอย
ชิ สุวิชาน
แม้ว่าฤดูเกี่ยวข้าวมาถึงแล้วแต่ฝนยังคงโปรยปรายลงมาอยู่ คนทำนาได้แต่ภาวนาว่าขออย่าตกตอนตีข้าวก็แล้วกัน เพราะฝนตกตอนตีข้าวนั้นมันยิ่งกว่าค่าเงินลอยตัวเสียอีก ผมเตรียมตัวกลับบ้านอีกครั้งเพื่อกลับไปเกี่ยวข้าว ผืนนาที่เคยวิ่งเล่นตอนเด็กๆกวักมือเรียกผมจากเมืองคืนสู่ทุ่งข้าวเหลืองอีกฤดู ซึ่งก็ได้จังหวะพอดีที่พ่อผมลงมาทำธุระที่เชียงใหม่ ทำให้ผมได้อาศัยรถของพ่อในการกลับครั้งนี้
ชิ สุวิชาน
ด้วยความที่อยากให้เกียรติวีรบุรุษในการต่อสู้ของคนที่อยู่กับป่า ทางทีมงานของเครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมจึงเลือกเพลง ปูนุ ดอกจีมู เป็นเพลงเปิดหัวในการประชาสัมพันธ์อัลบั้มเพลงเกอะญอเก่อเรอ ที่แรกที่เราส่งไปคือสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ท่าเป็นช่วงภาคภาษาชนเผ่า โดยเฉพาะภาษาปกาเกอะญอ ซึ่งมีพี่มานะ หรือบิหนะ เป็นผู้ประกาศข่าวคราวต่างไปถึงพี่น้องปกาเกอะญอในเขตภูเขา หลังจากที่เพลงถูกเปิด มีพี่น้องปกาเกอะญอจากที่ต่างๆโทรมาแสดงความเห็นมากมาย “ส่วนใหญ่เค้าบอกว่า เค้าชอบเพลงนี้มาก แต่เค้าขอร้องมาว่า ถ้าถึงท่อนที่เป็น ธาโย ช่วยปิดเลยได้มั้ย เพราะเขค้าฟังแล้วขนลุก โดยเฉพาะเวลานั่งหรือนอนฟังในบ้าน มันทำให้นึกถึงบรรยากาศงานศพขึ้นมาทันที เค้าบอกว่าทำให้เค้ารู้สึกไม่ค่อยดีเลย” พี่บิหนะ ผู้ประกาศข่าวภาคภาษาปกาเกอะญอโทรมาบอกผม
เจนจิรา สุ
เสียงโหม่งขนาดใหญ่ประสานกับเสียงกลอง ฆ้อง ฉาบ แม้ฟังดูอึกทึกครึกโครม แต่ก็พลิ้วไหวไปตามทำนองขุล่ยมั้งที่เป็นขลุ่ยเฉพาะของชาวกระยัน ได้เริ่มขับประโคมหมู่บ้านราวป่า ส่งสัญญาณการเริ่มต้นของงานประเพณีต้นที “กะควาง” ในภาษากระยันถูกแปรออกมาเป็นภาษาเรียกอีกอย่างว่า “ต้นที” ซึ่งหมายถึงเสาไม้สีขาวแกะสลักปลายเสาให้เป็นรูปร่างคล้ายกับศิวลึงค์ ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ในหมู่บ้านชนเผ่ากระยัน(กระเหรี่ยงคอยาว) และชนเผ่ากระยา(กระเหรี่ยงแดง) ชาวกระยันเชื่อว่า ต้นทีเป็นต้นไม้ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งแรกบนโลกมนุษย์ การบูชาต้นทีก็เพื่อให้บรรพบุรุษของกระยัน ที่สถิตบนสวรรค์ลงมาปกป้องคุ้มครองหมู่บ้านให้มีความสงบสุข อยู่ดีกินดี ไม่มีโรคระบาด ผีร้ายหรือสัตว์ป่าเข้ามารบกวนตลอดปี ก่อนวันงาน ทุกครอบครัวจะจัดเตรียมไม้ฟืนไว้สำหรับหุงต้มอาหาร แต่ละบ้านจะหาไม้ฟืนไว้พอใช้ทั้งปี ชายหนุ่มเข้าป่าเสาะหาไม้ล้มมาทำฟืน หญิงสาวปัดกวาดเช็ดถูบ้านเรือนครั้งใหญ่ แม่เฒ่ากระยันหุงเหล้ากลิ่นคละคลุ้งทั่วบ้าน หมูและไก่ตระเตรียมรอการเชือดเพื่อเลี้ยงแขกเหรื่อในวันรุ่งขึ้น
กอแก้ว วงศ์พันธุ์
ข่าวการเสียชีวิตของสมาชิกผู้สนับสนุนของกลุ่มการเมืองสองกลุ่มที่ขัดแย้งกันอยู่ขณะนี้ พวกเขาพลีชีพเพราะความเชื่อ ความศรัทธาของพวกเขา ซึ่งเป็นความเชื่อที่บริสุทธิ์ที่เขาแสดงออกต่อสิ่งที่ศรัทธานั้น แต่ไม่มั่นใจว่า พวกเขาเผชิญความรุนแรงถึงขั้นเลวร้ายเช่นนี้ โดยปราศจากแรงขับของความรุนแรงที่สองฝ่ายก่อให้เกิดขึ้น ท่านผู้นำทั้งหลาย ท่านกำลังใช้ความเชื่อ ความศรัทธาของคนเหล่านี้ เพื่อบรรลุเป้าหมาย เกียรติภูมิของท่านผู้นำ ที่ปูด้วยคราบเลือด น้ำตา ของมวลชน ควรภาคภูมิใจล่ะหรือ??? ความเชื่อ ศรัทธาควรเป็นหนทางเพื่อสันติภาพ หากเมื่อใดถูกนำไปสู่ความรุนแรงแล้วไซร้ ย่อมก่อเกิดหายนะแก่สังคม ผู้สูญเสียที่ไม่เคยถูกจารึกในประวัติศาสตร์ คือ มวลชนผู้บริสุทธิ์ ทั้งปวง    
เจนจิรา สุ
มีนาคม 2551 ฉันตอบจดหมายแฟนนักอ่านคอลัมน์ของฉันคนหนึ่ง เธอเป็นคนปักษ์ใต้ นานเป็นเดือนที่จดหมายมาถึงพร้อมเสื้อผ้าและข้าวของกล่องใหญ่ ด้วยเจตนาทดแทนความขาดแคลนตามความรู้สึกของเธอ ที่สัมผัสจากการอ่านในบันทึกของฉันอยู่สองสามฉบับ เธอบอกว่าอิจฉานิดๆ ในชีวิตที่เรียบง่ายที่ฉันเลือกเดิน ฉันจึงตอบเธอไปว่าฉันเป็นเพียงนกที่บินหลงทางมา ก่อนหน้านี้ฉันก็ได้รับจดหมาย เสียงโทรศัพท์ และหนังสือดีๆ ที่ถูกส่งมาจากคนเมืองไกลจากเพื่อนที่ห่างหายการติดต่อมานานแสนนาน และจากมิตรร่วมความรู้สึกที่ไม่เคยเห็นหน้า อาจดูเป็นเรื่องแปลกหรือมีเปอร์เซ็นต์น้อยเหลือเกิน ที่คนปกติธรรมดา เกิด และเติบโตในสังคมเมือง ได้รับการศึกษาเต็มความสามารถที่จะไปถึง ตัดสินใจทิ้งสังคมศิวิไลซ์มาใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่ไร้ความสะดวกสบาย และเก็บงำตัวเองออกจากโลกภายนอก